Thursday, November 21, 2024
Latest:
Property

บอร์ด SHR ไฟเขียว เตรียมจ่ายปันผลครั้งแรก พ.ค.นี้ หลังกวาดรายได้นิวไฮดันกำไรสุทธิโต 5 เท่าตัว เดินหน้ารุก 4 แผนงานหนุนรายได้ปี’67 โตต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ : บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน)(SET: SHR) ผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทระดับนานาชาติ ในเครือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (SET: S)เตรียมจ่ายเงินปันผลครั้งแรกหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังบรรลุเป้าหมายรายได้จากการขายและให้บริการในปี 2566 ในระดับสูงที่สุดในประวัติการณ์ จำนวน 9,701ล้านบาท เติบโตขึ้น 12%จากปีก่อนหน้า พร้อมประกาศกำไรสุทธิเติบโต 5เท่าตัว ผลประกอบการที่น่าพอใจดังกล่าว โดยได้รับแรงสนับสนุนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปีแรกแห่งการกลับมาเปิดพรมแดนเต็มรูปแบบตลอดทั้งปี

บริษัทฯ ได้รายงานอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมซึ่งคำนวณเฉพาะห้องพักที่เปิดให้บริการของบริษัท อยู่ที่ 71%ปรับเพิ่มขึ้น 10%จากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ การปรับแผนการตลาดอย่างมีประสิทธิผล มุ่งเน้นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของโรงแรมอยู่เสมอ โดยเฉพาะความสำเร็จสำคัญจากการปรับปรุงโรงแรมตามแผน ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR)ปรับเพิ่มขึ้น 9%จากปีก่อน ที่ระดับ 5,675บาทโดยระดับรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR)ปรับเพิ่มขึ้นถึง 23%ที่ระดับ 3,871บาท เมื่อประกอบกับความมุ่งมั่นในการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิที่ 86.4ล้านบาท เติบโตขึ้น 501% จากปีก่อนหน้า

ไมเคิล เดวิด มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า นอกจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดปี 2566ที่ผ่านมาแล้ว ข้อได้เปรียบสำคัญของ SHRคือทำเลที่ตั้งโรงแรมซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในจุดหมายปลายทางสำคัญที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ประกอบกับความยืดหยุ่นและวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการปรับแผนธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการตลาดเชิงรุกที่หลากหลาย หรือการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ศักยภาพสูง ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในพัฒนาประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในทุกมิติตัวชี้วัด ทั้งยังสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในทุกภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ด้วยปัจจัยดังนี้ 1)โรงแรมในประเทศไทยสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นถึง 59%จากปีก่อนหน้า และมีอัตราการเข้าพักที่ไม่รวมห้องพักที่อยู่ระหว่างปิดปรับปรุงสูงถึง 78%สะท้อนจุดเด่นทำเลที่ตั้ง และการครองมาตรฐานผลิตภัณฑ์และบริการอันเลิศ ทำให้เรามีอัตรานักท่องเที่ยวประจำที่น่าพอใจ และสามารถดึงดูดความนิยมจากหมู่นักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงได้เป็นอย่างดี 2) โรงแรมของบริษัทฯ ในสหราชอาณาจักร ที่มีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนความนิยมในการท่องเที่ยวในประเทศและระหว่างภูมิภาคที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง รวมถึงความสำเร็จจากกลยุทธ์พัฒนาประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอ ส่งผลให้สามารถบันทึก RevPAR ในระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ 3)สำหรับโรงแรม 2แห่งในโครงการ CROSSROADSสาธารณรัฐมัลดีฟส์ สามารถสร้างรายได้ที่เติบโต 4%แม้จะเผชิญสภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่รุนแรง ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวเชิงรุกของบริษัท โดยเฉพาะแผนการตลาดที่มุ่งเน้นการดึงดูดผู้เข้าพักจากตลาดใหม่ๆ เพื่อการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ และกลยุทธ์ในการตั้งราคาที่มีประสิทธิภาพ 4)ผลการดำเนินงานกลุ่มโรงแรม Outriggerแม้จะถูกจำกัดด้วยจำนวนห้องที่สามารถขายได้ (Available room)จากการปิดให้บริการชั่วคราวของ Outrigger Mauritius Beach Resortเพื่อปรับปรุงระบบบริหารจัดการน้ำในระหว่างเดือนเมษายนถึงตุลาคมของปี 2566อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานโรงแรมทั้งสองแห่งในสาธารณรัฐฟิจิยังคงเติบโตแข็งแกร่งและชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้จากความโดดเด่นทั้งด้านทำเลที่ตั้ง และการส่งมอบประสบการณ์เข้าพักที่น่าประทับใจ ประกอบกับการปรับปรุงระยะที่ 2ของโรงแรม Outrigger Fiji Beach Resortแล้วเสร็จสมบูรณ์ตามแผนในเดือนพฤศจิกายน ผลักดันให้ ADRเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกว่า 22%จากปีก่อนหน้า

นอกเหนือจากการบรรลุเป้าหมายผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจแล้ว บริษัทฯ ยังได้รับความเชื่อมั่นเป็นอย่างดีจากกลุ่มนักลงทุน สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ต่อนักลงทุนทั่วไปเป็นครั้งแรกที่มียอดจองซื้อสูงเกินกว่าเป้าหมายด้วยมูลค่า 1,300ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทฯ ในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับกลยุทธ์การลงทุนในอนาคต ท่ามกลางสภาวะของตลาดที่ผันผวน ในปีที่ผ่านมายังประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นแผนการปรับปรุงโรงแรมหลักของบริษัทฯ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างผลกำไรที่มีประสิทธิภาพ โดยคาดว่าห้องพักที่ได้รับการปรับปรุงแล้วจะสามารถยกระดับ ADRได้เฉลี่ยในช่วง 15% – 25%รวมไปถึงการเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ของโรงแรม SO/ Maldivesรีสอร์ทระดับ 5ดาว ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของโครงการ CROSSROADS Maldivesในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการพักผ่อนและไลฟ์สไตล์ที่ครบวงจร ซึ่งนำเสนอตัวเลือกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม

จากความสำเร็จทั้งหมดในรอบปีที่ผ่านมา รวมถึงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มผลประกอบการที่จะเติบโตขึ้นในอนาคต เป็นผลให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในอัตรา 0.015บาทต่อหุ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้จะมีการขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนที่จะถึงนี้

ไมเคิล กล่าวเพิ่มเติมว่า “บริษัทฯ เห็นสัญญาณบวกที่แข็งแกร่งในปี 2567จากจำนวนนักท่องเที่ยว และความเต็มใจใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งในประเทศไทย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ และสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ ประกอบกับรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ที่เพิ่มขึ้นจากผลสำเร็จของการปรับปรุงห้องพักและยกระดับมาตรฐานของโรงแรมในปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นการต่อยอดรากฐานทางธุรกิจอันมั่นคง บริษัทฯ จะเดินหน้ามุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไรในปี 2567ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.บริหารโดยมุ่งเน้นให้ RevPARเติบโตได้ในทุกภูมิศาสตร์ที่โรงแรมของบริษัทดำเนินการอยู่ ควบคู่ไปกับการเติบโตของรายได้อื่นนอกเหนือจากการเข้าพัก (Non-room Revenue) โดยนำเสนอเมนูใหม่ๆ พร้อมประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของแบรนด์ พร้อมแผนเปิดตัวบีชคลับในทุกรีสอร์ทในเครือทราย (Saii) 2.ยกระดับพอร์ตโฟลิโอและหมุนเวียนสินทรัพย์ (Portfolio Enhancement and Rotation)อย่างต่อเนื่อง โดยจะดำเนินการระยะที่ 2ตามแผนการปรับปรุงโรงแรมในประเทศไทยที่ ทราย ลากูน่า ภูเก็ต และ ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และดำเนินกลยุทธ์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่และรีแบรนด์โรงแรมที่เหมาะสมและมีศักยภาพในสหราชอาณาจักร 3.แผนยกระดับแบรนด์ทราย (SAii)ให้มีมาตรฐานระดับสากล (International Standard)ผนวกกับการสร้างการจดจำแบรนด์ในฐานะจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวแบบลักชูรีอย่างยั่งยืน พร้อมนำความแข็งแกร่งของแบรนด์มาต่อยอดในการสร้างการเติบโตที่ยืดหยุ่นขึ้นและมีข้อจำกัดที่ลดลง ทั้งภายใต้โมเดลธุรกิจแบบ Asset-Lightและการร่วมทุน (Joint Venture) และ4.จัดสรรงบในการลงทุนมูลค่า 15,000ล้านบาทเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition)ตลอดระยะเวลา 5ปีข้างหน้า เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนในด้านรายได้และกำไร รวมถึงลดความผันผวนทางฤดูกาล (Seasonal Effect)ของโรงแรมในเครืออีกด้วย

“ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของเรา โดยเฉพาะเรื่อง Brand Enhancementและการมุ่งเน้นการลงทุนขยายสินทรัพย์คุณภาพ จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของ SHRในการดำเนินการตามแผนธุรกิจในปีนี้ ให้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มรายได้ผลกำไร และขยายพอร์ตโฟลิโอสู่ระดับนานาชาติไมเคิล กล่าวทิ้งท้าย