กลุ่มเสนาฯ เปิด 17 โครงการใหม่ใช้พลังงานเป็นศูนย์ มูลค่ากว่า 2.8 หมื่นล้านบาทในปี’67 เตรียมส่ง Financial Asset ช่วยให้เป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น
บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เผยกลยุทธ์ปี 2567 มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจ 3 มิติ ทั้งFOCUS, DEEP DIVE และ DELIBERATE รับปีมังกรทอง เน้นพลังแห่งความร่วมมือ 3 ธุรกิจหลัก นำทีมโดย SENA Development 2.SENX และ 3. SENA Green Energy สู่ “POWER OF TOGETHER” เพื่อสร้างการเติบโตให้ทุกธุรกิจ ตั้งเป้าหมายรายได้รวมทุกธุรกิจ 15,100 ล้านบาท ธุรกิจบริหารโครงการและบริการ ตั้งเป้ารายได้ที่ 1,400 ล้านบาท และธุรกิจพลังงานสะอาด ตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท พร้อมรุกเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่ารวม 28,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 17,500 ล้านบาท และเป้าโอนที่ 12,719ล้านบาท
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ในฐานะ Developer รายแรกพัฒนาหมู่บ้านโซลาร์เต็มรูปแบบ ผู้นำด้านบ้านประหยัดพลังงาน และ Condo Low-Carbon กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่าในปี 2567ว่า ยังคงเป็นความท้าทายของแผนขับเคลื่อนธุรกิจ เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ และด้านอื่นๆ ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ทั้งปัญหาหนี้สินครัวเรือน ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นในรอบ 10 ปี ส่งผลให้สถาบันการเงินปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสูงถึง 70% อีกทั้งราคาที่ดินยังปรับเพิ่มขึ้น 1.5% (YoY) ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเฉลี่ย 5-10% (YoY) ซึ่งผู้ประกอบการทุกรายก็คงต้องปรับตัวตาม
จากปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ที่กำลังกระทบต่อสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ไทย เสนาเองก็หลีกหนีปัญหาและผลกระทบเหล่านี้ไปไม่ได้เช่นกัน แต่เราก็มีการวางแผนแนวทางในการบริหารจัดการธุรกิจ และจัดการปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ บนทิศทางของตัวเอง ซึ่งตอบโจทย์และเป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยพิสูจน์ได้จากความสำเร็จในปี 2566 ที่ผ่านมา เสนาเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 17,793 ล้านบาท สามารถสร้างรายได้ที่ 10,954 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 12% มีกำไรขั้นต้น 3,265 ล้านบาท ขณะที่ยอดโอนอยู่ที่ 8,432 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 9% แบ่งเป็นแนวสูง 6,876 ล้านบาท คิดเป็น 82% และแนวราบ 1,556 ล้านบาท คิดเป็น 18% มี Backlog 4,762 ล้านบาท ส่วน SENX เติบโตอย่างต่อเนื่องพร้อมพลิกกำไรในรอบ 5 ปี ที่ 995 ล้านบาท คิดเป็นกำไร 133% และ Sena Green Energy มีรายได้รวมกว่า 652 ล้านบาท เติบโต 47.5% โดยทุกผลการดำเนินงานเป็นไปในทิศทางบวก และดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มเสนาจ่ายเงินปันผล 9.5% เมื่อ 24 ก.พ.2567 ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์” ดร.เกษรา กล่าว
แม้ว่าในปีที่ผ่านมาเสนาจะมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ แต่ปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคยังคงไม่มีแนวโน้มจะลดลง ดังนั้นในปี 2567 นี้ เสนาจึงวางแผนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตโดยให้ความสำคัญกับปัญหาของเศรษฐกิจประเทศ ควบคู่ไปกับความสำคัญกับ Social Challenge ในภาพใหญ่ไปพร้อมๆ กัน ที่สำคัญการดำเนินงานจะต้องอยู่ในกรอบของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่สามารถตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของบริษัทฯ คือ Lifelong Trusted Partner เน้นถึงพลังแห่งความร่วมมือของกลุ่มธุรกิจในเครือ เปลี่ยนโครงสร้าง 3 กลุ่มธุรกิจ ทั้ง 1. SENA Development 2.SENX และ 3. SENA Green Energy ซึ่งเป็น New S-curveที่พร้อมจะสนับสนุน และส่งเสริมซึ่งกันและกัน เปรียบเสมือน Power Of Together เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ และที่สำคัญเพื่อให้เสนาเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญในการดูแลคุณภาพชีวิตลูกค้าในทุกช่วงอายุ และในทุก Gen
สำหรับความสำเร็จบนพื้นฐานของพลังแห่งความร่วมมือของเสนาในปีนี้ แบ่งออกเป็นกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจได้ใน 3 มิติ ประกอบด้วย FOCUS, DEEP DIVE and DELIBERATE
FOCUS ให้ความสำคัญ และเจาะลึกเรื่อง Segmentation มากขึ้น เน้นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่สามารถซื้อบ้านได้ที่ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ไปจนถึง 3.6 ล้านบาท หรือมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มากที่สุด มีสัดส่วนถึง 54% เมื่อเทียบจากรายได้ครัวเรือนของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งตรงกับบ้านหรือคอนโดมิเนียมในกลุ่ม Affordable Segment ที่เป็นสินค้าหลักของกลุ่มเสนาที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ได้แก่ แบรนด์ KITH COZI และ ECO TOWN
ปัจจุบันเสนานับเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์รายใหญ่ และเป็นรายเดียวที่ติดตั้งทุกเซ็กเมนท์ในโครงการ มีโครงการพร้อมขายทั้งหมด 99 โครงการ หรือคิดเป็นมูลค่ารวมราว 116,396 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนของ Affordable Segment ที่ 47 โครงการ มูลค่า 37,409 ล้านบาทโดยตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำในเซ็กเมนท์นี้ ขณะเดียวกันพร้อมจะขึ้นมาครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งของกลุ่ม BOI คอนโดมิเนียม พร้อมกันด้วย (โดยกลุ่มนี้ ณ ข้อบังคับปัจจุบันต้องมีราคาไม่เกิน 1.2 ล้านบาท และต้องมีพื้นที่ 24 ตร.ม.ขึ้นไป) ซึ่งปัจจุบันเสนามีอยู่ทั้งหมด 22 โครงการภายใต้แบรนด์ KITH, COZI และ ECO TOWN รวม 9,785 ยูนิต หรือมูลค่าโครงการรวมเกือบ 13,900 ล้านบาท
นอกจากนี้ เสนายังขยาย Segment สู่ตลาดบนเพิ่มเติม ผ่านการบริหารจัดการของบริษัทในเครืออย่าง SENX ที่เชี่ยวชาญในตลาดกลุ่มบน โดยจะเปิดโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Luxury เพิ่มเติมในทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ ราคาประมาณ 30 ล้านบาท โดยมีจุดเด่นที่บริการส่วนตัวระดับ Elite Residences ที่ผ่านการอบรมจากกลุ่มพาร์ทเนอร์ของเสนาคือ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป (HHP) จากญี่ปุ่น ด้วยมาตรฐานของโรงแรมในระดับสากล
DEEP DIVE เสนาไม่เพียงแค่ตอบโจทย์การเป็น Lifelong Trusted Partner ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการในทุกๆ ช่วงอายุเท่านั้น แต่ยังพัฒนานวัตกรรมทางการจัดการอสังหาริมทรัพย์สำหรับสภาพการเงินของลูกค้าในทุกรูปแบบด้วย เพื่อให้เข้าถึงสินเชื่อบ้านเป็นเรื่องง่ายขึ้น และช่วยทุกคนสามารถมีบ้านเป็นของตัวเอง ภายใต้ชื่อ “เงินสดใจดี”
ส่งผลให้ปัจจุบันกลุ่มเสนาฯ ถือเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำรายเดียวที่มีนวัตกรรมการจัดการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบโจทย์สถานภาพทางการเงินทุกรูปแบบของผู้ซื้อ และเป็นที่ปรึกษาทางการเงินส่วนตัวเพื่อการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร โดยทีมที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์การเงินคอยให้บริการ รวมถึงการให้สินเชื่ออเนกประสงค์ (Non-Bank) เพื่อบริหารจัดการเครดิต หรือเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อบ้าน ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมาสามารถช่วยให้ลูกค้าที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้เป็นยอดรวมถึง 300 ล้านบาท
เร็วๆ นี้ เสนาเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Financial Asset อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะช่วยให้เป็นเจ้าของบ้านได้ง่าย อีกทั้งยังตอบโจทย์ Generation Rent หรือ คนในกลุ่ม Gen Y และ Z ที่เป็นเจ้าของบ้านได้ยากขึ้นจากราคาบ้านที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องสวนทางกับรายได้ในปัจจุบัน
DELIBERATE กลุ่มเสนาฯ ได้คิดไตร่ตรอง (DELIBERATE) อย่างละเอียดใส่ใจ ครอบคลุมไปถึงการใช้ชีวิตในบ้าน เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่สุขสบายแบบ Well Being ที่มีความสุขทั้งกับตนเอง คนรอบข้าง ชุมชน ตอบโจทย์โลกในวันนี้ และในอนาคต ด้วย SENA LOW-CARBON หรือ การใช้ชีวิตแบบรักษ์โลก เป็นเรื่องง่ายที่เสนา ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของเสนา อาทิ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ คอนโด Low-Carbon การติดตั้ง EV Ready ส่งเสริมการใช้รถสาธารณะโดย V Move หรือบริการรถรับส่งฟรี มีระบบบริหารจัดการขยะเพื่อการรีไซเคิล และ Zeroboard แพลตฟอร์มคำนวณการปล่อยคาร์บอน รวมถึงการใช้แอปพลิเคชัน SENA360 และ SMARTIFY ที่จะ ช่วยให้การใช้ชีวิตแบบ Low Carbon เป็นเรื่องง่าย
สำหรับธุรกิจพลังงานสะอาด บริหารงานโดย บริษัท เสนา กรีน เอเนอร์ยี่ จำกัดว่า ถือเป็นธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายขยายตลาดธุรกิจ Solar สู่ตลาด B2C เพิ่มขึ้น รวมถึงแผนขยายธุรกิจ EV Charger สู่การเป็นตัวแทนจำหน่ายครบวงจร ขณะที่ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ Neta ซึ่งเริ่มจำหน่ายตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา มียอดขาย 156 คัน นับเป็น Distribution อันดับ 2 ของ Neta ในปีนี้เตรียมพร้อมขยายเพิ่มเติมด้วยเป้ายอดขาย 1,000 คัน พร้อมโมเดลธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่จะทำให้เป็นมากกว่าดีลเลอร์ทั่วไป ด้านโครงการ Reforestation ได้มีการยกระดับแผนธุรกิจสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตระดับอินเตอร์ โดยตั้งเป้าในปีนี้ที่ 10,600 ไร่
ดร.เกษรา กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อพักอาศัยในปี 2567 ว่า เสนาตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่ารวม 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้าน 5 โครงการ และคอนโดมิเนียม 12 โครงการ ขณะที่ยอด Pre sales ปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 17,500 ล้านบาท และเป้าโอนที่ 12,719ล้านบาท ส่วนธุรกิจบริหารโครงการและบริการ ตั้งเป้ารายได้ที่ 1,400 ล้านบาท และธุรกิจพลังงานสะอาด ตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท
“การดำเนินธุรกิจที่เสนาให้ความสำคัญอีกหนึ่งเรื่อง คือด้านความยั่งยืนที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้กลุ่มบริษัทเสนาตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่ต่ำกว่า 19,848 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้มากกว่า 1,984,800 ต้น ผ่านผลิตภัณฑ์ และบริการ อาทิ บ้านพลังงานเป็นศูนย์จำนวน 1,015 ยูนิต ลดคาร์บอน 2,538 ตันคาร์บอน , คอนโดมิเนียม Low Carbon 10 โครงการ ลดคาร์บอน 3,590 ตันคาร์บอน, ติดโซลาร์ B2C 1,800 หลัง ลดคาร์บอน 3,600 ตันคาร์บอน, ติด EV Ready 1,015 หลัง ลดคาร์บอน 853 ตันคาร์บอน , EV Car 1,000 คัน ลดคาร์บอน 840 ตันคาร์บอน , การบริหารจัดการขยะ ลดขยะ 43 ตัน ลดคาร์บอน 28 ตันคาร์บอน , การปลูกป่า Reforestation จากเฟสแรกในปี 2566 ทั้งหมด 41,300 ต้นครอบคลุม 306 ไร่จะเพิ่มให้ครบ 10,000 ไร่ รวมถึงมาตรการด้านการประหยัดพลังงานต่างๆ ภายในองค์กรอีกด้วย” ดร.เกษรา กล่าวสรุปทิ้งท้าย