SENA รุกธุรกิจโซลาร์เซลล์ ดัน เอท โซลาร์ ขยายฐานลูกค้าเพิ่มจากโครงการบ้านเสนา ตั้งเป้าปีนี้โต 10 %
กรุงเทพฯ – 1 กรกฎาคม 2564: SENA บุกตลาดโซลาร์เซลล์ ปีพ.ศ.2564 ดัน เอท โซลาร์ บริษัทลูกขยายฐานทางการตลาดจากโครงการบ้านเสนา ครอบคลุมลูกค้าทั้งกลุ่มอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้า กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ร้านค้าในสถานีบริการน้ำมัน พร้อมให้บริการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จากประเทศผู้ผลิตแผงชั้นนำทั้งFirst Solar จาก USD, Toshiba และ Sharp ญี่ปุ่น และ Jinko จากประเทศจีน ซึ่งเป็นแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าสูง วางเป้าขยายพอร์ตรายได้โตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 10 % รับเทรนด์พลังงานสะอาด
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ SENA เปิดกล่าวถึงแผนการดำเนินงานของบริษัท เอท โซลาร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเสนาฯ ว่า ในปีพ.ศ. 2564 บริษัทฯ จะมุ่งเน้นขยายธุรกิจการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) โดยมีเป้าหมายการเติบโตรายได้เฉลี่ยปีละ 10% ซึ่งปีนี้วางกำลังผลิตติดตั้งรวมไม่ต่ำกว่า 5 เมกะวัตต์ โดยเน้นการติดตั้งที่มีคุณภาพและคัดเลือกโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่อยู่ในเกณฑ์ดี ครอบคลุมทั้งโครงการบ้านของเสนา จำนวน 150 หลังคาเรือนและภาคธุรกิจอื่นๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจค้าปลีก ร้านค้าในสถานีบริการน้ำมัน และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ พร้อมกันนี้ยังมีธุรกิจให้คำปรึกษาและบำรุงรักษา ทำความสะอาด ระบบโซลาร์เซลล์ในโครงการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าให้สูงสุดในราคาค่าบริการที่คุ้มค่าที่สุด ต่อผู้ใช้บริการ
“ตลาดโซลาร์เซลล์มีการเติบโตต่อเนื่อง จากการที่ผู้อยู่อาศัย และผู้ประกอบการธุรกิจมีเป้าหมายลดต้นทุนค่าพลังงานเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันรัฐบาลได้เปิดโครงการโซลาร์ ภาคประชาชนที่ปรับเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าส่วนเหลือใช้จากบ้านที่อยู่อาศัยเดิม 1.68 บาทต่อหน่วยเป็น 2.20 บาท ต่อหน่วย เพื่อจูงใจและส่งเสริมให้ประชาชนหันมาติดตั้งโซลาร์เซลล์ใช้เองมากขึ้น และ ให้บริการบำรุงรักษาระบบโซลาร์เซลล์ในราคาย่อมเยา เอท โซลาร์ จึงเล็งเห็นโอกาสนี้ที่จะเข้ามาให้บริการเพื่อร่วมขับเคลื่อนพลังงานสะอาด” กรรมการผู้จัดการ SENA กล่าว
ด้านสุธรรม โอฬารกิจอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอท โซลาร์ จำกัด กล่าวเสริมว่า เอท โซลาร์ ยังได้วางแผนที่จะร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า เพื่อควบคุมต้นทุนของการติดตั้งทั้งระบบ พร้อมกันนี้ยังได้เป็นพันธมิตร ในการนำอุปกรณ์การแปลงไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ หรือที่เรียกว่าอินเวอร์เตอร์ (Inverters) ของบริษัท FIMER ซึ่งได้เข้าซื้อกิจการอินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตชั้นนำอย่าง ABB ประเทศอิตาลี มาให้บริการผู้บริโภค
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาความคุ้มค่าการใช้ไฟฟ้าที่ได้จากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกบ้านที่ทำงานนอกบ้านในช่วงเวลากลางวัน เพื่อให้เกิดประโยชน์การใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้อย่างสูงสุด ด้วยการจัดหาอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน และ ช่วยรักษาความปลอดภัย มาติดตั้งเพื่อบริการให้ลูกบ้าน โดยจะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคตต่อไป
“ธุรกิจโซลาร์เซลล์ของเสนาฯ ได้รับการตอบรับด้วยดี เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ประกอบกับขณะนี้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID- 19 ทำให้มีการทำงานอยู่บ้านหรือ Work From Home เพิ่มขึ้นส่งผลให้การใช้ไฟในบ้านสูงและแนวโน้มดังกล่าวจะเป็น New Normal โซลาร์เซลล์จึงเป็นคำตอบของยุคปัจจุบันและอนาคตและเพื่อตอบสนองของตลาดคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการออกแบบแผงโซลาร์เซลล์ให้มีความทันสมัยและให้เป็นองค์ประกอบของที่อยู่อาศัยให้มีความกลมกลืนและมีความสวยงาม แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้า” สุธรรมกล่าว
ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ดำเนินการติดตั้งโครงการบ้านเสนาฯ และ ที่อยู่อาศัยต่างๆ แล้วกว่า 400หลังคาเรือน รวมกำลังผลิตสำหรับที่อยู่อาศัย มากกว่า 1,000 กิโลวัตต์ รวมทั้งติดตั้งในสำนักงาน คลังสินค้า โรงงานขนาดใหญ่ กว่า 50 แห่ง รวมกำลังผลิตกว่า 16,000 กิโลวัตต์ และยังมีโซลาร์ฟาร์มที่เสนาฯ ลงทุนอยู่ขนาด 46,500,000 กิโลวัตต์ อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรที่จะเข้าร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชนอีกประมาณ 237 หลังคาเรือน