Property

เจแอลแอล ชูแนวคิด ESG ผสานเทคโนโลยี AI พลิกโฉมบริการอสังหาฯ สู่ยุคอุตสาหกรรม 5.0

ปัจจุบัน ความยั่งยืนในอสังหาริมทรัพย์ ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญในระดับโลก เนื่องจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่ผลตอบแทนทางการเงิน แต่ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน (ESG: Environmental, Social, Governance)ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ ยุคอุตสาหกรรม 5.0ที่เน้นการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับความต้องการของมนุษย์เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและคุณภาพชีวิต

ไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทยและอินโดนีเซีย กล่าวว่า ในโอกาสการฉลองการดำเนินงานในประเทศไทย 35 ปี เราไม่เพียงแค่มองย้อนกลับไปถึงความสำเร็จของเราเท่านั้น หากยังมุ่งหน้าสู่อนาคตที่เรากำลังสร้างสรรค์ต่อไป ความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน การนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลของเจแอลแอล ทำให้เรากลายเป็นแนวหน้าของวิวัฒนาการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของวันนี้ โดยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนด้วยการลงมือปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่าง เพื่อให้คำปรึกษาและสนับสนุนให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนทั้งในด้านธุรกิจอสังหาฯ พร้อมกับการมีส่วนร่วมสร้างสรรค์โลกที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน และเตรียมพร้อมสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 5 ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในการกำหนดรูปแบบอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในอนาคต บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญและน้อมรับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) เนื่องด้วยบริษัทฯ ตระหนักดีว่าการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถช่วยให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการปฏิบัติงานและยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานทั่วไปได้จริง  

นอกจากนี้ เจแอลแอลยังมุ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนภายในองค์กรและตอบสนองความต้องการในสถานที่ทำงานเพื่อเสริมสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการส่งเสริมความตระหนักรู้ถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของปัจจัยด้านสังคม เจแอลแอลจึงกำหนดวิสัยทัศน์และให้คำแนะนำแก่ลูกค้าในโลกของการทำงานยุคใหม่ ที่ซึ่งพนักงานในธุรกิจต่าง ๆ สามารถกำหนดรูปแบบเวลาและสถานที่ทำงานของพวกเขาเองได้มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของผู้คนที่โน้มเอียงไปสู่การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน

ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศของเจแอลแอล ประเทศไทย ยังเห็นได้อย่างชัดเจนจากสำนักงานในกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ LEED Gold ด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานอันยอดเยี่ยม และเป็นสำนักงานแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้การรับรอง WELL Platinum ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาสถานที่ทำงานที่เน้นความยั่งยืนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้งาน เพื่อสอดรับกับเป้าหมาย Net Zero Carbon ในอนาคต และสนับสนุนการลดการปล่อยคาร์บอนในทุกกระบวนการธุรกิจ พร้อมกับส่งเสริมแนวทาง Future Work ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างรูปแบบการทำงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นประโยชน์ต่อสังคม

หนึ่งในกิจกรรมที่ JLL ให้ความสำคัญคือการจัดกิจกรรมมอบประสบการณ์ด้านความยั่งยืน (Sustainability)เช่น โครงการส่งเสริมการแยกขยะในชุมชนและโรงเรียน เพื่อปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชนและคนในชุมชน นอกจากนี้ เจแอลแอล ประเทศไทย ยังผ่านการรับรอง Great Place to Work โดยพนักงาน 87% ยืนยันว่ามีประสบการณ์เชิงบวกในสำนักงานใหญ่ การยกย่องเหล่านี้สะท้อนถึงความทุ่มเทของเจแอลแอลในการสร้างวัฒนธรรมของสถานที่ทำงานได้อย่างโดดเด่น ผ่านการให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน

ไมเคิล กล่าวอีกว่า เจแอลแอลกำลังปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่กำลังเปลี่ยนแปลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่าน 4 แผนงานหลัก ได้แก่ บริการด้านกลยุทธ์การจัดพื้นที่สำนักงานและการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Workplace Strategy & Change Management) เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้สำนักงานสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่และสนับสนุนให้การเปลี่ยนแปลงดำเนินไปอย่างราบรื่น ผ่านการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการที่แท้จริงของพนักงานและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปรับเปลี่ยนได้ที่ช่วยเพิ่มกำลังผลผลิต นอกจากนี้ เจแอลแอลยังได้นำเสนอบริการด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Energy & Sustainability Services: ESS) เพื่อสนับสนุนลูกค้าบนเส้นทาง ESG โดยนำเสนอโซลูชันที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติงานที่ยั่งยืนและชี้แนะถึงวิธีการบรรลุเป้าหมายด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรม 

ฝ่ายปรับปรุงและพัฒนาสินทรัพย์ (Asset Enhancement) จะช่วยแก้ไขกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตรฐานตลาด โดยปรับปรุงประสิทธิภาพและปรับคุณสมบัติให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เช่าที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มมูลค่าพอร์ตโฟลิโอให้สูงสุดภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงนี้ และเพื่อสนับสนุนบริการเหล่านี้ บริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Tech Advisory) ของเจแอลแอลจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีสำหรับนำไปปรับใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการดำเนินงานและการบริหารทรัพย์สิน

แผนงานทั้ง 4 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเจแอลแอลในการนำเสนอนวัตกรรมที่พร้อมรับมือกับอนาคตเพื่อเพิ่มมูลค่าในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเจแอลแอลวางตำแหน่งบริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและการเปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ผ่านการนำเสนอบริการที่ครอบคลุมซึ่งตอบโจทย์ด้าน กลยุทธ์ในที่ทำงาน ความยั่งยืน การยกระดับสินทรัพย์ และการใช้งานเทคโนโลยีที่เหมาะสม 

จากความสำเร็จตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจแอลแอล ประเทศไทย ก้าวขึ้นมาในฐานะผู้นำในหลายภาคธุรกิจ สำหรับภาคธุรกิจตลาดทุน บริษัทฯ ได้ให้คำแนะนำด้านการลงทุน การปล่อยเช่าและซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2559-2566 โดยฝ่ายตลาดทุนของบริษัทฯ สามารถปิดการขายที่มีความซับซ้อนและมูลค่าสูงได้สำเร็จหลายโครงการในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งให้บริษัทฯ ขึ้นแท่นบริษัทที่ปรึกษาอันดับหนึ่งสำหรับลูกค้าที่กำลังต้องการซื้อที่ดินหรือสินทรัพย์ กลยุทธ์การขายและปล่อยเช่าสินทรัพย์ มองหาพันธมิตรร่วมทุน และบริการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาฯ 

สำหรับภาคธุรกิจโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม เจแอลแอลได้ปิดการขายที่ดินหลายแปลงขนาดรวมประมาณ 1,600 เฮกเตอร์ (10,000 ไร่) ในช่วงปี 2561-2566 สำหรับภาคธุรกิจโรงแรมและบริการต้อนรับ เจแอลแอลได้เป็นตัวแทนซื้อขาย โรงแรมถึง 54 แห่ง รวมมูลค่ากว่า 66,000 ล้านบาทนับตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งรวมถึงการเจรจาซื้อขายโรงแรมมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ตอกย้ำในด้านความเป็นผู้นำ ความเชี่ยวชาญ และความสำเร็จในภาคธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง 

ในฐานะผู้นำตลาดด้านการจัดการอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ เจแอลแอลได้บริหารพอร์ตโฟลิโอสินทรัพย์รวมมากกว่า 7.1 ล้านตารางเมตรทั่วประเทศไทย และคาดว่าจะถึง 7.5 ล้านตารางเมตรภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงโครงการระดับโลกที่เพิ่งเปิดใหม่ไปเมื่อไม่นานมานี้อย่าง One Bangkok นอกจากนี้แผนกงานบริการวิจัยและให้คำปรึกษาของบริษัทได้รับรางวัล SEA Research Team of The Year ประจำปี 2567 จากทาง RICS (Royal Institution of Chartered Surveyors) และได้ให้คำปรึกษากับโครงการมากกว่า 360 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมเกินกว่า 500,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน