C9 Hotelworks เผยตลาดอสังหาฯ หรูในไทยโตสูง 11% หนุนไทยขึ้นแท่นผู้นำตลาดที่พักอาศัยแบรนด์หรูในเอเชีย
รายงานการตลาดอสังหาริมทรัพย์จาก C9 Hotelworks เผยการเติบโตของโครงการที่พักอาศัยแบรนด์หรูในเอเชียพุ่งสูงอย่างรวดเร็วในช่วง 4ปีที่ผ่านมา ด้วยอัตราเติบโตที่ 11% ต่อปี โดยมีโครงการใหม่กว่า 180 แห่ง รวม 43,100 ยูนิต ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ซึ่งตัวเลขนี้เพิ่มปริมาณที่พักอาศัยแบรนด์หรูในภูมิภาคเป็นสองเท่า โดยมีไทยเป็นประเทศที่ครองตำแหน่งผู้นำในเอเชียในตลาดที่พักอาศัยแบรนด์หรู ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังคงครองอันดับหนึ่งในด้านจำนวนโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา สำหรับระดับเมือง ภูเก็ตได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด ตามมาด้วยมะนิลาและกรุงเทพฯ
บิลล์ บาร์เนตต์ กรรมการผู้จัดการ C9 Hotelworks เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่น่าสนใจ ถือเป็นตลาดชั้นนำในเอเชียที่มีที่พักอาศัยเปิดตัวแล้วกว่า 12,665 ยูนิต จาก 55 โครงการ ซึ่งมีมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ซึ่งได้รับความนิยมจากคนไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากชาวต่างชาติสามารถถือครองคอนโดมิเนียมได้ต่างจากอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น เช่น วิลล่า หรือบ้านจัดสรรที่ยังมีข้อจำกัดในการถือครอง เช่นเดียวกับหลายประเทศในเอเชีย อาทิ ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคนี้ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก
ทั้งนี้ ตลาดคอนโดมิเนียมหรูในเมืองยังมีอัตราที่เติบโตและมีมูลค่าสูง โดยคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าคอนโดในพื้นที่รีสอร์ทถึง 2 เท่า เนื่องจากทำเลที่อยู่ในเขตเมืองและราคาขายทีได้รับผลกระทบจากแบรนด์ที่เกี่ยวข้อง โดยแบรนด์เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคาอสังหาริมทรัพย์ เช่น Mandarin Oriental Residences ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ก็เริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ Niseko ในญี่ปุ่นที่มีผู้ซื้อชาวไทยเข้าไปลงทุนมากขึ้น ในกรุงเทพฯ ตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูยังคงเป็นจุดสนใจ โดยเฉพาะโครงการ “Luxury” และ “Upper Upscale” ไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่เติบโต แต่ประเทศในเอเชียอย่าง เวียดนาม มาเลเซีย อินเดีย และญี่ปุ่นก็มีการเติบโตรวมกว่า 24.5%
ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า จำนวนยูนิตทั้งหมดในตลาดจะเพิ่มขึ้นจาก 40,000 ยูนิต เป็น 80,000-90,000 ยูนิต และคาดการณ์ว่าในอนาคตโครงการ “Branded Residences” แบบ Stand-Alone จะมีมากขึ้นในกรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา และเกาะสมุย นอกจากนี้ โครงการแบบ Mixed-Use ก็ยังเป็นที่น่าสนใจในตลาด โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังมองหาช่องทางในการตอบสนองความต้องการของชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง นับเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาและขยายในอนาคต
“หลังจากสถานการณ์โควิด-19 พบว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี ซึ่งทำให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ปรับตัว ด้วยการมุ่งเน้นโครงการ Mixed-Use มากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงจากภาคการท่องเที่ยวที่มีความผันผวน ในขณะเดียวกันประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ซื้อชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในภูเก็ต ที่เป็นตลาดสำคัญที่ดึงดูดผู้ซื้อจากยุโรปตะวันออกและประเทศอื่น ๆ ที่มองหาอสังหาริมทรัพย์แบรนด์ดัง” บิลล์ กล่าว
ด้าน ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ในช่วงโควิด-19 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยระดับกลุ่มระดับบนยังเติบโตได้ดีจากผู้ซื้อชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ในขณะที่ตลาดกลุ่มล่างชะลอตัวลงจากปัญหาหนี้สินของผู้บริโภคในประเทศ อสังหาริมทรัพย์แนวราบ (Landed Residential) จึงกลายเป็นตัวเลือกที่โดดเด่น เนื่องจากผู้คนต้องการหลีกเลี่ยงการอาศัยอยู่ในใจกลางเมือง อีกทั้งผู้ซื้อจากประเทศที่มีความขัดแย้ง เช่น จีน ยังนิยมซื้อบ้านมากกว่าคอนโดมิเนียมให้เช่า
“แนวโน้มหลังโควิด-19คาดว่าคอนโดมิเนียมกลุ่ม High-End จะกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้น โดยในด้านกลยุทธ์การขายในตลาดนานาชาติ บริษัทต้องพิจารณาอสังหาริมทรัพย์ที่เหมาะสมกับตลาดโลก โดยเปรียบเทียบกรุงเทพฯ กับเมืองใหญ่อย่างไมอามี่และดูไบ ซึ่งเรียกว่า “Playground Cities” ที่ดึงดูดผู้ซื้อด้วยราคาย่อมเยา บริการคุณภาพ และความมั่นคง กรุงเทพฯ และภูเก็ตจึงเป็นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง สามารถดึงดูดนักลงทุนและผู้ซื้อจากทั่วโลก ด้วยการใช้ชีวิตและโอกาสการลงทุนในระยะยาวที่เปรียบได้กับเมืองใหญ่อื่น ๆ ในระดับโลก” ชานนท์ กล่าว