“อมตะ”มั่นใจครึ่งปีหลังยอดขายที่ดินเพิ่มรับเปิดประเทศ คาดเงินเฟ้อปัญหาระยะสั้นนักลงทุนยังเข้าไทย
“อมตะ” ประเมินทิศทางการลงทุนครึ่งหลังปี 65 ยังคงขยายตัวได้ดีกว่า 2 ปีที่ผ่านมา หลังรัฐบาลเปิดประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนหลายประเทศเริ่มเดินทางเข้าไทย เพื่อตัดสินใจลงทุนอีกครั้ง คาดยอดขายที่ดิน 2 นิคมฯ ไต่ระดับกว่า 1,000 ไร่ ตามเป้าที่กำหนดไว้ กังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ที่ยังมีตัวเลขสวิงของยอดผู้ติดเชื้อ หวั่นส่งผลต่อนโยบายเปิดประเทศ ชี้ปัจจัยอัตราเงินเฟ้อ ค่าเงินบาทอ่อน เชื่อเป็นปัญหาระยะสั้น ไม่กระทบการลงทุนระยะยาว
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในครึ่งปีหลัง คาดการณ์ว่าจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หากรัฐบาลยังคงนโยบายเปิดประเทศ ซึ่งคาดว่ายอดขายที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองแห่งประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมอมตะซีตี้ชลบุรี และ นิคมฯอมตะซิตี้ระยอง จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยยอดขายจะอยู่ประมาณกว่า 1,000 ไร่ ซึ่งขณะนี้นักลงทุนเริ่มทยอยกลับเข้ามา หลังจากที่ไตรมาส 1-2 เป็นช่วงที่นักลงทุนอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ ลงพื้นที่จริงเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาคัดเลือกที่ดินในการประกอบการ ทำให้ในช่วงไตรมาส 3-4 เป็นช่วงที่ผู้บริหารระดับสูงเริ่มตัดสินใจ ทำให้การขายที่ดินของอมตะ จะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ อย่างไรก็ตามต้องประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญเพราะมีผลต่อการเดินทางของนักลงทุนเข้าสู่ประเทศไทย
“ในช่วงครึ่งปีหลังจึงเป็นไฮซีซั่นของการลงทุนหรือการขายพื้นที่นิคมฯ แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่หลายปัจจัย แต่ปัจจัยหนึ่งที่เห็นว่าสำคัญนั่นคือการเดินทางมาดูพื้นที่ได้สะดวกย่อมดีกว่า โดยช่วง 2 ปีที่โควิด 19 ระบาดต่างคนต่างล็อกดาวน์ทำให้การเดินทางต้องหยุดชะงัก ดังนั้นถ้ายังคงนโยบายเปิดประเทศ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนเพราะส่วนใหญ่นักลงทุนที่
เข้ามา จะมองการลงทุนในระยะยาวมากกว่า” นายวิบูลย์กล่าว
อย่างไรก็ตามขณะนี้ มีประเทศจีนที่ยังคงใช้นโยบายซีโร่โควิด ไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ ในขณะที่ บางประเทศเดินทางกลับไปแล้วต้องกักตัวนาน ทำให้เกิดความยุ่งยากของนักลงทุน แต่ตอนนี้หลายประเทศเปิดแล้วโดยเฉพาะญี่ปุ่น การเดินทางการเจรจาจะสะดวกขึ้น ดังนั้นเชื่อว่า สถานการณ์การลงทุนในปีนี้โดยรวมจะขยายตัวมากกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนปัจจัยอัตราเงินเฟ้อ และค่าเงินบาทที่อ่อนตัว มองว่าเป็นปัจจัยระยะสั้น ไม่น่าจะยืดเยื้อ ดังนั้นอาจจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการลงทุนที่เข้ามา เน้นการผลิตเพื่อการส่งออก และเป็นการลงทุนในระยะยาว เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในนิคมฯอมตะ ที่เป็นผู้ผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 70-80% ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว ในส่วนของสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก เชื่อว่าหาจุดลงตัวได้