ครม.มีมติรับทราบและเห็นชอบเรื่อง “การดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ”
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2565 ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล โดย ครม.มีมติรับทราบและเห็นชอบเรื่อง การดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้
1. รับทราบการขยายกรอบการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ (โครงการฯ) กรณีการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ รูปแบบโครงการเช่าระยะสั้น (Rental) บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 5050 และ ส.กท. 827 (บางส่วน) แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 3 – 1 – 91 ไร่ มีระยะเวลาโครงการ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
2. เห็นชอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน (ธ.ออมสิน) แยกบัญชีโครงการฯ เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account: PSA) และให้ กค. รับความเห็นหน่วยงานไปพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2559 รับทราบกรอบการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ (โครงการฯ) โดยโครงการดังกล่าวมีระยะเวลาโครงการ 5 ปี (สิ้นสุดโครงการเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2564) ซึ่งโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราวและหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยได้กำหนดโครงการนำร่อง ปี พ.ศ. 2559 ไว้ 6 แปลง เนื้อที่รวม 105 – 0 – 86 ไร่ [โครงการเช่าระยะสั้น 2 แปลง หมายเลขทะเบียน ที่ กท.5050 กรุงเทพมหานคร (อยู่ระหว่างดำเนินการ) และ กท. 2615 กรุงเทพมหานคร (ยกเลิกการดำเนินโครงการฯ) โครงการเช่าระยะยาว 4 แปลง หมายเลขทะเบียนที่ ชม.35, ชม.1698 จังหวัดเชียงใหม่ (ยกเลิกการประกวดโครงการฯ) อ.ชร.31 จังหวัดเชียงราย (ไม่มีผู้ยื่นซองประกวดราคา) พบ.260 จังหวัดเพชรบุรี (บริษัทฯ ขอยกเลิกสัญญาเช่าทั้งหมด) และ พบ.261 จังหวัดเพชรบุรี (อยู่ระหว่างดำเนินการ)] อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ในช่วงปลายปี พ.ศ.2563 และมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ.2564 ส่งผลต่อเศรษฐกิจทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริษัทผู้ได้รับสิทธิดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ (บริษัทฯ) ทั้งโครงการระยะสั้นและระยะยาวประสบปัญหาในการดำเนินโครงการดังกล่าว กระทรวงการคลัง (กค.) (กรมธนารักษ์) จึงได้หารือร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารออมสิน (ธ.ออมสิน) และบริษัทฯ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ 2564 ซึ่งที่ประชุมได้มีแนวทางการแก้ปัญหาโครงการฯ (เฉพาะที่อยู่ระหว่างดำเนินการ) ดังนี้
(1) โครงการเช่าระยะสั้น ที่ดินแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 5050 และ ส.กท. 827 (บางส่วน) แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 3 – 1 – 91 ไร่ ผลการดำเนินโครงการฯ :บริษัทฯ ได้แจ้งขอเลื่อนการลงนามในสัญญาก่อสร้างอาคารยกกรรมสิทธิ์ให้ กค. และวางหลักประกันสัญญา รวมทั้งชำระค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิ เนื่องจากอยู่ระหว่างธนาคารออมสินพิจารณาสินเชื่อในการดำเนินโครงการฯ และจัดเตรียมหลักประกัน พร้อมขอรับสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน (ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2559) มติที่ประชุม บริษัทฯ ขอรับสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อดำเนินโครงการฯ บนที่ดินราชพัสดุแปลงดังกล่าว (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2559) โดย ธอส. และ ธ.ออมสิน ไม่ขัดข้องที่จะให้สินเชื่ออัตราดังกล่าวและให้กรมธนารักษ์เสนอเรื่องการขยายกรอบการดำเนินโครงการฯ ต่อคณะรัฐมนตรี โดยมีกรอบการดำเนินโครงการ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
(2) โครงการเช่าระยะยาว ที่ดินแปลงหมายเลข พบ.261 อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ประมาณ 21 – 0 – 11 ไร่ ผลการดำเนินโครงการ: คงเหลืออยู่ระหว่างดำเนินการขายจำนวน 4 หลัง โดยมีประชาชนสนใจซื้อแล้ว 4 หลัง และได้ยื่นขอสินเชื่อจาก ธอส. แล้ว (สิงหาคม 2564) แต่ได้รับแจ้งจาก ธอส. ว่าไม่สามารถเสนอขออนุมัติสินเชื่อให้กับลูกค้าได้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยตามโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐสิ้นสุดระยะเวลาไปแล้ว เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2564 (ตามกรอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559) มติที่ประชุม บริษัทฯ ขอรับสินเชื่อ “โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลังระยะที่ 2)” (คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2565) ให้กับประชาชนผู้สนใจโครงการฯ แทนสินเชื่อโครงการฯ ซึ่ง ธอส. ไม่ขัดข้องที่จะให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยโครงการบ้านล้านหลังและได้มีหนังสือตอบรับการสนับสนุนสินเชื่อสำหรับที่พักอาศัยบนที่ดินราชพัสดุที่เหลืออยู่จำนวน 4 หลังแล้ว (ธอส. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี)