Thursday, March 6, 2025
Latest:
News

สวทช. -ผนึกกำลัง วว. วิจัยชีวภัณฑ์ ลดสารเคมีทางการเกษตร ส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน

จากความร่วมมือที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่องภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือเป็นระยะเวลา 5 ปี (1 กรกฎาคม 2562 ถึง 30 มิถุนายน 2567) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น ชีวภัณฑ์ราเมตาไรเซียม กำจัดไรแดง และสารชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช เพื่อช่วยลดการใช้สารเคมีในแปลงเกษตร ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สวทช. โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ วว. เพื่อทดสอบพิษวิทยาและพัฒนาชีวภัณฑ์ตามเกณฑ์กรมวิชาการเกษตร

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จึงร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างขีดความสามารถด้านการวิจัยพัฒนา และนวัตกรรมของประเทศ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อขยายผลการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง สอดคล้องตามนโยบาย วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ตรงความต้องการ และ “เน้นประเด็นสำคัญของประเทศ” ของกระทรวง อว.

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ทั้งสองหน่วยงานได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือต่ออีก 5 ปี (ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2568 ถึงวันที่ 3 มีนาคม 2572) โดยแนวทางความร่วมมือในระยะต่อไปจะดำเนินงานวิจัยร่วมกันในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ทางการเกษตรสู่เกษตรกรและชุมชน การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตพืชผักและไม้ผลปลอดภัยด้วยชีวภัณฑ์ โดยอาศัยคู่มือแบบมาตรฐานจัดการศัตรูพืช (Standard Operating Procedure: SOP) ของทุเรียน ถั่วฝักยาว เมล่อนและกาแฟ) และระบบ DAPbot เพื่อเข้าถึงชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพใน Line OA ซึ่งพัฒนาโดยคณะนักวิจัย ไบโอเทค สวทช. รวมทั้งการทดสอบพิษวิทยาสำหรับพัฒนาชีวภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อรองรับการขึ้นทะเบียนต่อกรมวิชาการเกษตร และผลักดันการเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนเกษตรกรรมของประเทศให้มีความปลอดภัยและยั่งยืน

“ความร่วมมือครั้งนี้เปิดโอกาสให้นักวิจัยจากทั้ง สวทช. และ วว. ได้ใช้เครื่องมือที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่ร่วมกัน โดยเฉพาะเครื่องมือเฉพาะทางและเครื่องมือที่มีมูลค่าสูง เพื่อศึกษาวิธีการใช้จุลินทรีย์ในการควบคุมและกำจัดศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ วว. มีประสบการณ์ทำงานใกล้ชิดกับชุมชนและเกษตรกร จะช่วยให้เข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของภาคการเกษตร ทำให้สามารถพัฒนาและเร่งส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชีวภัณฑ์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบและต้องการโซลูชันอย่างเร่งด่วน ด้วยการทำงานร่วมกันของนักวิจัยจากทั้งสองหน่วยงาน จะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่มีอยู่ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยในห้องปฏิบัติการเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เนื่องจากเมื่อจุลินทรีย์ถูกนำไปใช้ในสภาพแวดล้อมจริง ศัตรูพืชเองก็สามารถพัฒนาและปรับตัวให้ดื้อต่อจุลินทรีย์ได้เช่นกัน จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือนี้จึงช่วยให้สามารถนำบทเรียนจากการวิจัยก่อนหน้าไปประยุกต์ใช้กับการพัฒนาชีวภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งสองหน่วยงานมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ภาคการเกษตรของไทยประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน และพร้อมที่จะขยายความร่วมมือด้านการวิจัยเทคโนโลยีในสาขาอื่น ๆ ต่อไป“ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว 

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. ในฐานะรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีพันธกิจสำคัญในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ในการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมความเข้มแข็งในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่ง วว.ตระหนักดีว่าการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน

การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้ จึงเป็นอีกก้าวสำคัญของ วว. ในการสานพลังกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ โดยบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เช่น การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย การพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ สังคม และเทคโนโลยี

“วว. มีบทบาทสำคัญในการขยายขนาดการผลิตของสารชีวภัณฑ์ โดยอาศัยศักยภาพของโรงงานต้นแบบ และโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ เพื่อผลิตสารชีวภัณฑ์ในปริมาณมาก และรองรับการแจกจ่ายให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการที่สนใจนำผลงานวิจัยไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ วว. ยังทำงานร่วมกับ ไบโอเทค สวทช. ในการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เพื่อขยายกำลังการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต ในด้านมาตรฐานและคุณภาพ วว. มีระบบรับรองคุณภาพที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งสามารถควบคุมคุณภาพของสารชีวภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานเดียวกันทุกล็อตการผลิต เพื่อให้เกษตรกรมั่นใจว่าสารชีวภัณฑ์ที่ได้รับจากความร่วมมือนี้มีคุณภาพดี ปลอดภัย และสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.วีรชัย กล่าว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)  กล่าวว่า ทางศูนย์ฯ มีการเก็บรวบรวมจุลินทรีย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นยีสต์ เชื้อรา และแบคทีเรีย โดยมีการจัดเก็บทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของจุลินทรีย์แต่ละชนิด เพื่อให้สามารถเก็บรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อนำจุลินทรีย์ที่เก็บไว้มาตรวจสอบ นักวิจัยจะคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีศักยภาพในการนำไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะในการพัฒนาเป็นสารชีวภัณฑ์ ซึ่งต้องผ่านกระบวนการทดสอบประสิทธิภาพอย่างละเอียด เช่น การกำหนดสภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและการออกฤทธิ์ของเชื้อรา หรือการระบุแหล่งที่เหมาะสมสำหรับการใช้แบคทีเรียเพื่อให้ได้ผลสูงสุด ปัจจุบันมีผลงานการพัฒนาสารชีวภัณฑ์ที่สามารถนำไปใช้ได้กับพืชหลากหลายชนิด รวมถึงไม้ยืนต้น เช่น สารสกัดจากเชื้อรา Lasiodiplodia theobromae ใช้ควบคุมวัชพืชใบกว้างและใบแคบ และไวรัส NPV (Nucleopolyhedrovirus) ที่ใช้กำจัดหนอนศัตรูพืช

ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชคิดเป็นมูลค่าปีละ 20,000-30,000 ล้านบาท ดังนั้น การพัฒนาชีวภัณฑ์จึงตั้งเป้าลดการพึ่งพาสารเคมีลง โดยในระยะแรก (เฟสแรก) ตั้งเป้าให้ชีวภัณฑ์มีส่วนแบ่งตลาด 1-10% และในระยะถัดไปจะขยายผลสู่ภาคเอกชนและเกษตรกรมากขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้ชีวภัณฑ์ในตลาดไทย

ที่ผ่านมา ไบโอเทคให้ความสำคัญกับการพัฒนาชีวภัณฑ์สำหรับไม้ผลที่มีมูลค่าสูง เช่น ทุเรียน และในระยะถัดไปจะขยายการพัฒนาไปยังไม้ผลอื่น ๆ รวมถึงพืชผักที่บริโภคสด เช่น พริกและคะน้า ซึ่งเป็นพืชที่ต้องการมาตรฐานความปลอดภัยสูง เป้าหมายหลักของการดำเนินงานนี้คือการช่วยให้ภาคเกษตรกรรมสามารถลดการใช้สารเคมีได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน องค์ความรู้จากความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ วว. จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรมีทางเลือกที่ยั่งยืนในการจัดการศัตรูพืช และสามารถผลิตผลทางการเกษตรที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น