Friday, November 22, 2024
Latest:
News

ทล.อนุมัติขับขี่ความเร็ว 120 กม./ชม. เพิ่ม 6 เส้นทาง ดีเดย์ 1 ก.ย. นี้

กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม เดินหน้าสร้างความปลอดภัยและความรวดเร็วสะดวกสบายในการเดินทาง กำหนดอัตราการขับขี่ด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพิ่มอีก 6 เส้นทาง ครอบคลุมเส้นทางในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2564 นี้ เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้ใช้อัตราความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีความปลอดภัยสูง ตอบโจทย์การคมนาคมขนส่งทุกรูปแบบ

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้ออก “กฎกระทรวง กำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบท ที่กำหนด พ.ศ. 2564” และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2564 ซึ่งภายหลังจากที่กระทรวงคมนาคมได้เปิดให้ผู้ขับขี่รถใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนทางหลวงหมายเลข 32 หรือถนนสายเอเชีย ช่วงหมวดทางหลวงบางปะอิน ถึงทางต่างระดับอ่างทอง เป็นเส้นทางแรก เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ตามนโยบายการปรับเพิ่มอัตราความเร็วของรถยนต์ จากความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นความเร็วไม่เกิน 120 กกิโลเมตร/ชั่วโมง และสั่งการให้กรมทางหลวงกำหนดเส้นทางเพิ่มเติม โดยให้ครอบคลุมเส้นทางในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เพื่อประกาศใช้ในระยะที่ 2 โดยได้ข้อสรุป 6 เส้นทาง มีผลเริ่มใช้ได้ในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมยังได้เน้นย้ำให้ ทล. ปรับปรุงเพิ่มมาตรฐานทางกายภาพให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ได้แก่ เสริมการก่อสร้างอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างทาง (Concrete Barrier) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงเนื่องจากการเสียหลักข้ามเกาะกลาง ปรับปรุงจุดกลับรถระดับราบ เพื่อลดการตัดกันของกระแสจราจร ติดตั้งป้ายจราจรและป้ายเปลี่ยนข้อความได้เพื่อสื่อสารการใช้ความเร็วที่เหมาะสมในช่วงถนนและช่องจราจร รวมทั้งติดตั้งแถบเตือน Rumble Strips บอกจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดการเข้าเขตควบคุมความเร็วด้วย

สราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.)

สราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) กล่าวว่า สำหรับเส้นทางนำร่อง ระยะที่ 2 ทั้ง 6 เส้นทาง ที่จะเริ่มใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป ประกอบด้วย

1. ทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ตอนบ่อทอง – มอจะบก ระหว่าง กม. ที่ 74+500 ถึง กม. ที่ 88+000 แขวงทางหลวงนครราชสีมาที่ 2 ทั้งขาเข้าและขาออก 6 ช่องจราจร ระยะทาง 13.500 กม.

2. ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ตอนหางน้ำหนองแขม – บ้านหว้า – วังไผ่ ระหว่าง กม. ที่ 306+640 ถึง กม. ที่ 330+600 แขวงทางหลวงนครสวรรค์ที่ 1 ทั้งขาเข้าและขาออก 8 ช่องจราจร ระยะทาง 23.960 กม.

3. ทางหลวงหมายเลข 32 (ถนนสายเอเชีย) ตอนอ่างทอง – ไชโย – สิงห์ใต้ – สิงห์เหนือ – โพนางดำออก ระหว่าง กม. ที่ 50+000 ถึง กม. ที่ 111+473 แขวงทางหลวงอ่างทอง และแขวงทางหลวงสิงห์บุรี ทั้งขาเข้าและขาออก 6 และ 8 ช่องจราจร ระยะทาง 61.473 กม.

4. ทางหลวงหมายเลข 1 ตอนสนามกีฬาธูปะเตมีย์ – ต่างระดับคลองหลวง – ประตูน้ำพระอินทร์ ระหว่าง กม. ที่ 35+000 ถึง กม. ที่ 45+000 แขวงทางหลวงปทุมธานี ทั้งขาเข้าและขาออก 6 ช่องจราจร ระยะทาง 10.000 กม.

5. ทางหลวงหมายเลข 34 (ถนนบางนา – ตราด) ตอนบางนา – ทางเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระหว่าง กม. ที่ 1+500 ถึง กม. ที่ 15+000 แขวงทางหลวงสมุทรปราการ ทั้งขาเข้าและขาออก 8 ช่องจราจร ระยะทาง 13.500 กม.

6. ทางหลวงหมายเลข 304 (ถนนสุวินทวงศ์) ตอนคลองหลวงแพ่ง – ฉะเชิงเทรา ระหว่าง กม. ที่ 53+300-58+320 และ กม. ที่ 62+220 ถึง กม. ที่ 63+000 แขวงทางหลวงฉะเชิงเทรา ทั้งขาเข้าและขาออก ระยะทาง 5.800 กม. โดยทั้ง 6 เส้นทางกำหนดให้ใช้อัตราเร็วสูงสุดไม่เกิน 120 กม./ชม. และไม่ต่ำกว่า 100 กม./ชม. ในช่องทางขวาสุด ยกเว้นกรณีเหตุฉุกเฉิน เช่น การจราจรติดขัด หรือรถเสีย

ทั้งนี้ ทล. ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยได้ปรับปรุงทางกายภาพของถนนทั้ง 6 เส้นทางให้มีความพร้อมรองรับการใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัย เช่น ปิดจุดกลับรถพื้นราบ ให้ใช้จุดกลับรถใต้สะพานหรือทางยกระดับ ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ติดตั้งกล้องวงจรปิด และอุปกรณ์ตรวจจับความเร็ว ป้ายเตือน ป้ายจราจรต่างๆ รวมทั้งประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจังหวัด ตำรวจในพื้นที่ และตำรวจทางหลวง เพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน ตลอดจนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนผู้ใช้ทางทราบข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้ใช้อัตราความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ที่สำคัญคือมีความปลอดภัยสูง