“ไทวัสดุ” ทุ่มทุน กว่า 7,000 ล้านบาท สานต่อยุทธศาสตร์ CRC Retailligence สร้างอนาคต “To be NO.1 in Home Improvement Market”
บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผู้ดำเนินธุรกิจ ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้แบรนด์ไทวัสดุ บีเอ็นบี โฮม ออโต้วัน และ โก! ว้าว เปิดแผนการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ.2565 ด้วยการทุ่มงบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อสานต่อยุทธศาสตร์ CRC Retailligence สร้างอนาคต “To be NO.1 in Home Improvement Market” โดยใช้ 5 กลยุทธ์ CRC Thai Watsadu : Build the future ภายใต้วิสัยทัศน์การขึ้นเป็นผู้นำค้าปลีก ออมนิชาแนลตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านอย่างครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย
สุทธิสาน จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 12 ปี ในการก่อตั้ง ซีอาร์ซี ไทวัสดุ เริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ 2553 ได้ขยายธุรกิจสินค้าวัสดุก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งบ้าน รวมถึงสินค้าที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคครบวงจรอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดตัว “ไทวัสดุ” สาขาแรกที่บางบัวทอง และขยายสาขาต่างๆรองรับผู้บริโภคทั่วประเทศซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 59 สาขา ในปี พ.ศ. 2555 ได้เปิดตัว “บ้านแอนด์บียอนด์”โดยแบ่ง Positioning ชัดเจนคือ “ไทวัสดุ” เป็น Hard DIY ส่วน “บ้านแอนด์บียอนด์” เป็น Soft DIY และในเวลาต่อมา “ซีอาร์ซี ไทวัสดุ” ได้รีแบรนด์ “โฮมเวิร์ค” เป็นเชน “บ้านแอนด์บียอนด์” และล่าสุดได้เปลี่ยนเป็น BnB Home ปัจจุบันมี 6 สาขา
ต่อมาในปี พ.ศ.2557 ได้สร้าง Distribution Center และทำระบบสมาชิกของตัวเอง โดยแยกจากระบบสมาชิกของเซ็นทรัล เนื่องจากชื่อบริษัทแม่คือ “เซ็นทรัล” มีภาพลักษณ์ของความหรูหรา พรีเมียม และกลุ่มเป้าหมายแตกต่างกัน เพื่อความชัดเจนในการทำตลาด และการขาย ไทวัสดุจึงแยกระบบสมาชิกออกมาทำเอง โดยสามารถสร้างฐานสมาชิกได้ 1,000,000 สมาชิก ต่อมาในปี พ.ศ. 2559 หลังจากไทวัสดุมีความแข็งแกร่งด้านสาขาแล้ว จึงได้ควบรวมระบบสมาชิกไทวัสดุ กับ The 1 เข้าด้วยกัน เพื่อทำให้ระบบสะสมพอยท์ และใช้คะแนนสามารถใช้ด้วยกันได้
ในปี พ.ศ. 2561 เป็นปีที่ “ซีอาร์ซี ไทวัสดุ” สร้าง New High ยอดขายแตะ 20,000 ล้านบาท และไทวัสดุมี 45 สาขา ขณะที่บีแอนด์บี โฮม หรือบ้านแอนด์บียอนด์ในขณะนั้น มี 6 สาขา และในปีพ.ศ. 2561นี้ นอกจากธุรกิจที่เป็น Cash Cow แล้ว “ซีอาร์ซี ไทวัสดุ” ได้เริ่มขยาย 2 ธุรกิจใหม่ คือ V Fix บริการช่างมืออาชีพให้กับลูกค้า เพื่ออำนวยความสะดวก และส่งเสริมธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านให้เป็นครบจบในทีเดียว และ Auto 1 ศูนย์บริการรถยนต์แบบฟาสต์ฟิต รองรับจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไทย และต่อยอดจากความแข็งแกร่งของแบรนด์ไทวัสดุ เนื่องจาก พฤติกรรมลูกค้าไทวัสดุ จะขับรถยนต์มาจอดเพื่อซื้อสินค้า ประกอบกับสาขาต่างๆ ของไทวัสดุ ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ จึงได้ใช้พื้นที่ว่างที่มีอยู่แล้ว มาเปิดศูนย์บริการรถยนต์ ทำให้ลูกค้าสามารถนำรถมาให้ Auto 1 ตรวจเช็คซ่อมบำรุงรถยนต์ในระหว่างที่ลูกค้าซื้อสินค้า ต่อมาในปีพ.ศ.2562 พัฒนาฟอร์มรูปแบบ “ไทวัสดุ” ขยายย่อม เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บิโภคในชุมชนมากขึ้น โดยคัดเลือกขายสินค้าที่เป็นความต้องการของชุมชนในแต่ละพื้นที่ และจุดเปลี่ยนในการที่ทำให้บริษัทฯหันมาทำธุรกิจซื้อขายสินค้าออนไลน์มากขึ้น
จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ภาครัฐประกาศล็อกดาวน์ แต่ความต้องการซื้อของซ่อม ตกแต่งบ้านทั้งแนวราบและแนวดิ่งยังคงมีอยู่จำนวนมาก บริษัทฯ จึงต้องปรับกลยุทธ์ในการรองรับผู้บริโภคดังกล่าวด้วย และในปี พ.ศ. 2564 เปิดตัวโมเดลใหม่ คือ Hybrid Store ระหว่างไทวัสดุ กับบีแอนด์บี โฮม, ขยายสู่ธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างอนาคตใหม่ให้กับกลุ่มซีอาร์ซี ไทวัสดุ ด้วยการรุกตลาดร้านวาไรตี้ สโตร์ “go! WOW” ตอบโจทย์ซื้อง่าย ขายคล่อง ในราคาเริ่มต้น 5 บาท ส่งผลให้ Ticket Size โดยเฉลี่ยของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการอยู่ที่กว่า 100 บาทต่อบิล
สุทธิสาน กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ.2565ว่าด้วยสถานการณ์ COVID-19 ยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แผนการดำเนินธุรกิจและขยายสาขาการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ไม่เป็นไปตามแผนการดำเนินธุรกิจที่วางไว้แต่ก็ยังสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่องโดยในปี พ.ศ.2564 บริษัทฯ มีรายได้มากกว่า 30,000 ล้านบาท ส่วนในปี พ.ศ.2565 คาดจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ.2565 ประมาณ 13% เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ COVID-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ต้องประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด ในส่วนของงบการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ.2564 ใช้ไปประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนในปี พ.ศ.2565 ได้ตั้งงบการดำเนินธุรกิจไว้กว่า 7,000 ล้านบาทเพราะมองว่าเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชนเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว จึงจำเป็นต้องลงทุนขยายการดำเนินธุรกิจในส่วนต่างๆ ที่กระทำได้ล่าช้าในช่วงที่เกิด COVID-19
“ในปี พ.ศ. 2564 บริษัทฯ สร้างยอดขายเติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2563 และในปี พ.ศ 2565 บริษัทฯ มุ่งเป้าการเติบโตของธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นผู้นำค้าปลีกออมนิชาแนลตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งบ้านอย่างครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย พร้อมสานต่อยุทธศาสตร์ CRC Retailligence สร้างอัตราการเติบโตของธุรกิจ (CAGR) ในระยะ 10 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2560-2569 โดยใน 5 ปี แรก อัตราการเติบโตของธุรกิจอยู่ที่ 12% ในขณะที่ 5 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2565-2569 คาดการณ์อัตราการเติบโตของธุรกิจอยู่ที่ 18% และตั้งเป้าผลกำไรเพิ่มขึ้น 30%” สุทธิสาน กล่าว
ทั้งนี้บริษัทฯ มุ่งมั่นในการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงเคียงข้างสังคมไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์ CRC Retailligence โดยเชื่อมั่นว่าจะเป็นการสร้างมิติใหม่แห่งวงการค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน นำเสนอโซลูชันครบวงจรเพื่อที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้น สร้างอนาคตมิติใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยั่งยืน ด้วยการนำ 5 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วย
1.Thriving เสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจ รองรับการเติบโตในอนาคต พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำค้าปลีกออมนิชาแนลตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งบ้านอย่างครบวงจร ด้วยงบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท ผ่านกุญแจสำคัญ (Multi-Key Drivers) เพื่อการขยายสาขาใหม่ ปรับปรุงสาขาเดิม การรีแบรนด์ และพัฒนารูปแบบบริการ ในทุกแบรนด์ (Multi-Brands)ครอบคลุม ไทวัสดุ บีเอ็นบีโฮม ออโต้วัน โก! ว้าว และหลากหลายในทุกฟอร์แมท (Multi-Formats) ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงการเพิ่มช่องทางการขายใหม่ (Multi-Channels : Chat & Shop, Call & Shop, e-ordering, Direct Sales) ขยายประเภทและชนิดของสินค้าให้หลากหลาย (Multi-Ranges) ครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค (Multi-Segments)
2.Seamless Omnichannel Shopping Experience ด้วยความสำเร็จในปี พ.ศ. 2564 ช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้นกว่า 400% ด้วยรายการสินค้ากว่า 70,000 รายการ มียอดการเยี่ยมชมกว่า 17,000,000 ครั้งต่อเดือน มีลูกค้าจำนวน 2,000,000 คนต่อเดือน สร้างยอดขายกว่า 60,000 ออร์เดอร์ต่อเดือน โดยในปีพ.ศ. 2565 พร้อมส่งต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งผ่านช่องทางออมนิชาแนลอย่างไร้รอยต่อ ตั้งเป้าการเติบโตช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 150% ยกระดับแพลตฟอร์มออมนิชาแนล เปิดตัวโมบายแอปพลิเคชันไทวัสดุ’ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 และกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชัน บีเอ็นบี โฮม และออโต้วัน ที่จะพร้อมเปิดตัวในอนาคต นอกจากนี้ได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ของเว็บไซต์ อัปเกรดระบบโครงสร้าง IT ระบบ Order & Transportation Management System ด้วยมาตรฐานบริการระดับเวิลด์คลาส
3.Supply Chain & Logistics Expansion ปรับปรุงและขยายคลังสินค้าแห่งใหม่บนพื้นที่กว่า 160,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นกว่า 120% เพื่อรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ในอีก 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังได้พัฒนาระบบโลจิสติกส์ ลงทุนขยาย Fleet รถบรรทุกกว่า 25% และเริ่มทดลองวิ่งรถบรรทุก EV Charge พลังสะอาดคาดว่าประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2565 นี้จะปรับมาใช้ EV นำร่อง 6 คัน และปี พ.ศ.2566 จะปรับไปใช้ EV เพิ่มเป็น 30 คัน เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 200 ต้นต่อปี
4.Driving Sustainability การขับเคลื่อนธุรกิจที่ยั่งยืนที่เคียงข้างในทุกมิติ ทั้งพนักงาน คู่ค้า สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Values) ตามนโยบายของเซ็นทรัลทำ โดยมุ่งเน้นใน 3 มิติหลัก ได้แก่ People Centric ให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพคน ตลอดระยะเวลา 12 ปีในการดำเนินธุรกิจ สร้างรายได้และสร้างอาชีพให้กับผู้พิการ ผู้สูงอายุ เพิ่มโอกาสสร้างงานและขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงวิกฤต COVID-19 มีการจ้างงานกว่า 1,000 อัตรา Sharing Society ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการตอบแทนสังคมผ่านโครงการสำคัญต่าง ๆ เช่น โครงการ “รวมหัวใจให้บ้านเกิด” ที่เปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมสร้างประโยชน์ต่อชุมชนของตนเอง โดยการเข้าไปช่วยเหลือปรับปรุงสถานที่ และมอบอุปกรณ์ให้แก่ โรงพยาบาล โรงเรียน สร้างบ้านให้ผู้ยากไร้ รวมไปถึงการสนับสนุนและช่วยเหลือสังคมในยามวิกฤต Environmental Oriented สร้างการเติบโตของธุรกิจที่เคียงข้างกับการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยร่วมกับองค์การป่ารักษ์น้ำแห่งประเทศไทยเป็นเวลากว่า 4 ปี มอบฝายจำนวน 1,130 แห่ง ในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ ช่วยบรรเทาวิกฤตของป่าต้นน้ำคืนความสมดุลให้แก่ธรรมชาติ New Market Penetration การลงทุนขยายธุรกิจใหม่ในกลุ่มฟาสต์ฟิตของแบรนด์ออโต้วันเป็นผู้นำบริการตรวจสภาพรถฟรี 38 รายการ เช่น ฟรีเติมลมไนโตรเจน ฟรีปะยาง เร่งเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี พ.ศ.2565 จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 30 สาขา พร้อมเปิดตัว Super App AUTO1 และ Line Connect (Live Chat) ให้บริการสั่งซื้อ จองคิวรับบริการ การแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดระยะ รวมถึงแจ้งเหตุฉุกเฉิน ในส่วนของธุรกิจน้องใหม่ go!WOW ซึ่งมีสินค้าเบ็ดเตล็ดที่ใช้ในชีวิตประจำวันกว่า 20,000 รายการจำหน่ายนั้น จะเร่งขยายสาขาโดยสิ้นปี พ.ศ. 2565 จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 70 สาขา