Sunday, November 24, 2024
Latest:
Construction

ทล. ก่อสร้างขยาย 4 ช่องจราจร ทล.202 ตอน บ.เมืองเตา – อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด แล้วเสร็จ เสริมศักยภาพด้านคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์ภาคอีสาน

กรมทางหลวง(ทล.) โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สายอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย – อำเภอเกษตรวิสัย ตอนบ้านเมืองเตา – อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ระยะทาง 15.6 กิโลเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

สราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.)

สราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) กล่าวว่า สำหรับทางหลวงหมายเลข 202 เป็นทางหลวงสายสำคัญในการเดินทางของภาคอีสาน มีจุดเริ่มต้นที่แยกทางหลวงหมายเลข 201 บริเวณสี่แยกโรงต้ม อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ผ่านพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร และอำนาจเจริญ สิ้นสุดที่อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ระยะทางรวมทั้งหมด 387 กิโลเมตร โดยอยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง 380 กิโลเมตร ที่ผ่านมา ทล. ได้ก่อสร้างขยายเป็น 4 ช่องจราจรแล้วเสร็จ 148 กิโลเมตร เนื่องด้วยมีผู้ใช้เส้นทางสายนี้เป็นจำนวนมากและมีปริมาณการจราจรที่หนาแน่นเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี ทำให้เกิดปัญหาจราจรติดขัดเนื่องจากมีขนาด 2 ช่องจราจร ทล. เล็งเห็นความสำคัญจึงได้ปรับปรุงขยายทางหลวงสายดังกล่าวในส่วนที่เหลือ

โดยขณะนี้มีส่วนที่อยู่ในขั้นตอนการออกแบบรายละเอียดและเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นระยะทาง 81 กิโลเมตร และอยู่ระหว่างดำเนินโครงการก่อสร้างอีกระยะทาง 135.4 กิโลเมตร และปัจจุบันได้ก่อสร้างแล้วเสร็จบางส่วนในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ระยะทาง 15.6 กิโลเมตร ระหว่าง กม. ที่ 162+000 – 164+024 กม. ที่ 165+411 – 167+300 และ กม. ที่ 172+000 – 183+772 โดยก่อสร้างเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ 4 ช่องจราจร (ไป – กลับ) ผิวทางและไหล่ทางเป็นแอสฟัลท์คอนกรีต ผิวจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 1.50 เมตร ส่วนไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร พร้อมปรับปรุงเกาะกลาง มีการก่อสร้างสะพานเพื่อให้รถขนาดเล็กสามารถลอดกลับใต้สะพานได้ จำนวน 2 แห่ง และก่อสร้างสะพานข้ามคลอง จำนวน 5 แห่ง พร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างบนทางหลวง งบประมาณ 796,296,000 บาท

เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ระหว่างจังหวัดร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี บรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด เพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายการคมนาคมขนส่งให้มีความสะดวกรวดเร็วและความปลอดภัย สามารถรองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ช่วยลดอุบัติเหตุในการเดินทางบนถนน ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในพื้นที่และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ