นวัตกรรมสีเขียวปฏิวัติโลก “Green Innovation Revolution Workshop”
นวัตกรรมสีเขียว การพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อโลกอนาคต นวัตกรรมสีเขียวคือการนำเอาเทคโนโลยีและกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการพัฒนาและผลิตสินค้าและบริการ เพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจต่อธรรมชาติ การส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการของโลกในยุคปัจจุบัน นวัตกรรมสีเขียวเป็นทางเลือกที่ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว
The Nova Community x MECT ร่วมจัดงาน “Green Innovation Revolution Workshop” ในงาน Thailand Smart City พร้อมด้วยกูรูผู้เชี่ยวชาญที่สุดในวงการ มาร่วมกันเฟ้นหา Green Innovation ที่เหมาะกับเมืองไทย เพิ่มความหลากหลาย เพิ่มทางเลือก เพื่อให้ Green Project เกิดขึ้นได้จริง วันที่ 8 พ.ย. 2567 เวลา 10.00 – 16.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (บุคคลทั่วไปมีค่าลงทะเบียนท่านละ 10,000 บาท) และพิเศษ รับหน่วย CPD จากสภาวิศวกร
Workshop Highlights
- ความเป็นกลางทางคาร์บอน: ภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ
(Carbon Neutrality: The Do or Die Mission) - แผนที่เส้นทางการลดการปล่อยคาร์บอนของโลกและประเทศไทย
(Global and Thailand’s Carbon Emission Reduction Roadmaps) - อุตสาหกรรมก่อสร้างจะช่วยโลกได้อย่างไร
(How the Building Industry Can Save the World) - เทรนด์นวัตกรรมสีเขียว
(Green Innovation Trends) - การค้นหาวิธีแก้ปัญหาและซัพพลายนวัตกรรมสีเขียว
(Finding Solutions and Green Innovation Supplies)
เตรียมพร้อมสำหรับ งาน The Nova Expo 2025
นวัตกรรมสีเขียวจะเข้ามาช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมในอนาคต
จินต์ ธีระโกเมน รองกรรมการผู้จัดการอีอีซีกล่าวว่า นวัตกรรมสีเขียวมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมการก่อสร้าง มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ทั้งในด้าน Embodied Carbon และ Operational Carbon ในปัจจุบัน มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำจากบริษัทใหญ่ ๆ แต่ปัญหาหนึ่งคือความหลากหลายของวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่มีให้เลือกใช้นั้นยังน้อย โดยเฉพาะวัสดุที่เกี่ยวกับงานสถาปัตย์ส่งผลต่อความสามารถในการออกแบบและความสวยงามของโครงการ
ในด้านงานโครงสร้าง มีการพัฒนาโซลูชันต่าง ๆ เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอน เช่น การใช้ปูนที่มีคาร์บอนต่ำเป็นวัสดุที่ปล่อยคาร์บอนสูงในระดับทั่วโลก แต่ทางเลือกอื่น ๆ เช่น การใช้เหล็กคาร์บอนต่ำและโครงสร้างไม้ (Timber Construction) ยังมีข้อจำกัดในด้านความพร้อมและการเข้าถึงวัสดุในประเทศการพัฒนาโครงสร้างไม้ให้เข้าถึงได้มากขึ้น แต่ปัญหาคือไม้ยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มีค่าใช้จ่ายสูง และในเรื่องของเหล็กคาร์บอนต่ำก็มีความท้าทายในการผลิตในประเทศเนื่องจากกระบวนการที่ซับซ้อน นอกจากนี้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบ ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างไม้ยังมีข้อจำกัด ทำให้เป็นข้อจำกัดในการนำมาใช้
การสนับสนุนให้มีความหลากหลายของวัสดุในตลาดจะช่วยให้การออกแบบและนักพัฒนา มีทางเลือกมากขึ้น อาจนำไปสู่การแข่งขันทางด้านราคาและเพิ่มโอกาสในการนำวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้มากขึ้นในอนาคต ดังนั้นการพัฒนานวัตกรรมสีเขียวและการสร้างความรู้ความเข้าใจในวัสดุและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการก่อสร้างในอนาคต
การแข่งขันสู่การเพิ่มโอกาสในการใช้งานนวัตกรรมสีเขียว
ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียวกำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมการก่อสร้างจึงต้องการสร้างความเข้าใจกับภาครัฐเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่มีมาตรฐานรองรับและได้รับการพิสูจน์ผ่านกรณีศึกษาต่าง ๆ เพื่อให้สามารถลดการปลดปล่อยคาร์บอน โดยเฉพาะในด้าน Embodied Carbon
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ Operational Carbon ยังคงมีความเข้าใจที่จำกัด เพราะมีการปล่อยคาร์บอนในระยะยาวสูงถึง 60% ของการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ Embodied Carbon มีส่วนช่วยเพียง 40% เท่านั้น จึงต้องการให้ผู้คนได้รู้จัก Operational Carbon มากขึ้น ทั้งในด้าน Supply Side และ Demand Side
ลดการปลดปล่อยพลังงานเป็นวิธีการที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยการเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานต่ำ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในปัจจุบันมีการพัฒนาไปมาก ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีการใช้พลังงานต่ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำระบบ Control Automation และ AI มาประยุกต์ใช้ ทำให้การจัดการพลังงานของอาคารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ระบบ AI หรือ Building Automation System สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการทำงานได้ง่ายขึ้น มีการเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมกับความต้องการของอาคารได้ดี
การนำ AI และ Data Analytics เข้ามาใช้ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถตรวจจับและแจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์ในอาคารมีความเสียหาย ต้องการการซ่อมบำรุงจะช่วยให้การทำงานนั้นทำได้อย่างเต็มศักยภาพและคุ้มค่ากับการลงทุนมากยิ่งขึ้น
ในด้าน Supply ของผลิตภัณฑ์ AI และ Control Automation ยังมีความต้องการที่สูง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีผู้ให้บริการจำกัด จึงจำเป็นต้องมีการสรรหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้เพื่อสร้างการแข่งขันในตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานให้มากยิ่งขึ้น
สำหรับเจ้าของอาคารหรือผู้พัฒนา ที่มีมุมมองว่า Control Automation นั้นใช้งานยาก ต้องการให้เกิดความเข้าใจว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันมีความก้าวล้ำไปมาก ทำให้การเข้าถึงและการใช้งานมีความสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงควรมีโอกาสได้พบปะ ทำความเข้าใจ และพูดคุยเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เพื่อสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการก่อสร้างและพัฒนานวัตกรรมสีเขียวในอนาคต
เทคโนโลยีสีเขียวที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจแบบเดิม
“มองว่าตรงนี้เป็นโอกาสในการเติบโตธุรกิจของเขา จึงอยากจะแชร์ตรงนี้เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึง”
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม การนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ในธุรกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญในการปรับเปลี่ยนโครงการต่าง ๆ ให้มีความยั่งยืน ในการจัด Workshop ล่าสุด มีการพูดคุยเกี่ยวกับการสนับสนุนโครงการที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีสีเขียว โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องมีการกู้เงินจากธนาคาร ช่วยให้โครงการเหล่านี้มีโอกาสในการเข้าถึงงบประมาณหรือกองทุนสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกับการทำโครงการสีเขียว
การที่โครงการสามารถทำสีเขียวได้ จะต้องมีการพิจารณา Supply Chain และเทคโนโลยีทั้งหมดที่ใช้ในโครงการให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มโอกาสให้โครงการสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น และสามารถได้รับดอกเบี้ยที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้กับ Supply Chain ในการเข้าถึงงานได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยไม่เพียงแต่แข่งขันในด้านราคา แต่ยังแข่งขันในเรื่องของการลดการปลดปล่อยคาร์บอน
เป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Green Fund
เรื่องของ Taxonomy ได้มีการออกระยะที่ 1 แล้ว โดยเน้นไปที่ขนส่งและพลังงาน ขณะนี้กำลังจะมีการออกระยะที่ 2 ที่จะครอบคลุมถึงภาคอุตสาหกรรมการผลิต ภาคการเกษตร ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการจัดการของเสีย โดยอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์จะสามารถเข้าข่ายเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว จะได้รับการสนับสนุนนโยบายจากธนาคารแห่งประเทศไทยในเรื่องของการลงทุน
อสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินนโยบายสีเขียวจะได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ดี และมีโอกาสในการได้รับกองทุนสนับสนุนที่ดีกว่า ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรม เช่น โรงงานที่ทำการหลอมเหล็ก อาจจะมีการใช้เทคโนโลยีที่ปล่อยคาร์บอนสูง หากมีการปรับเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ เช่น เตาไฟฟ้าแทน ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีโอกาสได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต
ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีสีเขียวและนโยบายต่าง ๆ จะช่วยทั้งด้าน Demand Side และ Supply Side ด้วยเช่นกัน ใน Workshop นี้ ผู้เข้าร่วมจะได้เล็งเห็นถึงผลประโยชน์จากการนำเทคโนโลยีสีเขียวไปใช้จะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เข้ากับเงื่อนไขของ Taxonomy เพื่อขอรับเงินทุนสนับสนุนที่มีดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงการคำนวณและจัดการด้านคาร์บอนต่าง ๆ ด้วย
ความท้าทายหลักในการปฏิวัตินวัตกรรมสีเขียวในอุตสาหกรรมในประเทศไทย
การปฏิวัตินวัตกรรมสีเขียวในอุตสาหกรรมของประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะในด้านการจัดหาวัสดุและเทคโนโลยีที่เหมาะสม สำหรับภาคส่วนใหญ่ในประเทศไทยที่พึ่งพาการนำเข้าสินค้าและการเป็น Distributor นั้น ความเข้าใจของ Supplier เกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้านั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาโครงการสีเขียว หากไม่มีการนำเข้าสินค้าหรือเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การดำเนินโครงการสีเขียวและการเข้าถึง Green Fund ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบาก
หนึ่งในอุปสรรคหลักคือ Supplier มักมีความกังวลว่าเมื่อพวกเขานำเข้าสินค้าแล้วจะไม่มีผู้ซื้อ ในขณะเดียวกัน เนื่องจากขาดความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในตลาด ผู้ซื้อก็ไม่สามารถเลือกใช้วัสดุที่ต้องการได้ จึงส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถสร้างระบบนิเวศที่รองรับการพัฒนาโครงการสีเขียวได้ ทั้งที่ประเทศไทยได้รับการสนับสนุนงบประมาณสำหรับ Green Fund จากทั่วโลกเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่สามารถอนุมัติได้ เนื่องจากโครงการไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
นอกจากนี้ การรับรองและตรวจสอบคาร์บอน (Verification) ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัญหา เนื่องจากประเทศไทยกำลังจะมีการเริ่มต้นการตรวจสอบนี้ แต่ในขณะเดียวกัน การขาด Verifier ที่มีความเชี่ยวชาญในประเทศก็เป็นอุปสรรคใหญ่ หากต้องจ้าง Verifier จากต่างประเทศ ก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงอาจเกินกำลังสำหรับโครงการที่มีขนาดเล็ก
ทั้งหมดนี้เป็นความเสียโอกาสที่อาจเกิดขึ้นต่อประเทศ เนื่องจากหากประเทศไทยมี Verifier ที่สามารถรับรองการปลดปล่อยคาร์บอนได้ ก็จะเปิดโอกาสให้เงินทุนจาก International Fund สามารถไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมในประเทศได้จะเป็นการสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืนในอนาคต
โอกาสและอุปสรรคในการพัฒนานวัตกรรมสีเขียวในประเทศไทย
ประเทศไทยมีโอกาสมากมายในการพัฒนานวัตกรรมสีเขียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการประชุม COP27 และ COP28 ได้มีการหารือเกี่ยวกับนโยบายที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ทำให้มีโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนสนับสนุนจากโควตาที่จัดสรรไว้สำหรับประเทศเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโอกาสที่ดี แต่การเปลี่ยนแปลงอาจไม่เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากประเทศไทยอาจไม่สามารถปรับตัวได้ทันตามกำหนด หากไม่มีการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากภาครัฐและภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การลดการปลดปล่อยคาร์บอนนั้นเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
การเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพในการปลดปล่อยคาร์บอนจะต้องอาศัยการสนับสนุนทั้งทางด้านเทคโนโลยี การศึกษา การสร้างความตระหนักรู้ และการลงทุนจากภาครัฐและเอกชน เพื่อที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต การสร้างความร่วมมือและความเข้าใจระหว่างทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันนวัตกรรมสีเขียวในประเทศไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนานวัตกรรมสีเขียว
การพัฒนานวัตกรรมสีเขียวในประเทศไทยเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและต้องการความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะในด้านของ Green Innovation และ Data Center สามารถนำเงินทุนมหาศาลเข้าสู่ประเทศได้ แม้ว่าภาครัฐจะมีแผนงานในการลดการปลดปล่อยคาร์บอน ทั้งทางภาคพลังงานและนโยบายต่าง ๆ แต่ภาคเอกชนยังรอความชัดเจนทำให้การพัฒนาโครงการคาร์บอนต่ำอาจล่าช้ากว่าแผนที่ตั้งไว้
เราทราบดีว่าภาครัฐมีคณะทำงานและร่างแผนการอยู่ แต่คำถามสำคัญคือ เมื่อไหร่ที่แผนเหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการ และแนวทางการดำเนินการจะเป็นอย่างไร การที่ภาคเอกชนต้องรอการประกาศแผนอย่างเป็นทางการอาจทำให้เกิดความล่าช้า เนื่องจากกระบวนการพัฒนาโครงการ ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการก่อสร้าง อาจใช้เวลาถึง 3-5 ปี หากรอจนกว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการอาจจะทำให้การดำเนินงานนั้นล่าช้าเกินไป
หากเราอยู่ในขั้นตอนการออกแบบและมีความเข้าใจในทิศทางที่ภาครัฐต้องการให้ดำเนินการ เช่น แนวทางของโครงการสีเขียว เราจะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม เรื่องของ Taxonomy ในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ว่าจะพิจารณาเพียง Embodied Carbon หรือรวมถึง Operational Carbon ด้วย หากภาคเอกชนทราบแน่ชัดว่าจะต้องโฟกัสที่ด้านใด จะสามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความชัดเจนในนโยบายจากภาครัฐจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ภาคเอกชนควรได้รับข้อมูลและแนวทางที่ชัดเจนจากภาครัฐเพื่อที่จะสามารถดำเนินการตามที่วางแผนไว้ได้ การที่ไม่มีกฎเกณฑ์หรือแนวทางที่ชัดเจน จะทำให้ภาคเอกชนไม่กล้าตัดสินใจในการดำเนินงาน
ในเรื่องของการปลดปล่อยคาร์บอน เป้าหมายในปี ค.ศ. 2030 และ 2050 กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่หากไม่มีความชัดเจนจากภาครัฐ ความล่าช้านี้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของภาคเอกชนอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการประชุมสำคัญอย่าง COP27 และ COP28 ต้องมีการหารือเกี่ยวกับนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถปรับตัวและดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมสีเขียวที่มีประสิทธิผลในประเทศไทย โดยภาครัฐต้องมีการสื่อสารและสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนให้กับภาคเอกชน เพื่อให้สามารถร่วมมือกันในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในอนาคต