Thursday, November 21, 2024
Latest:
Green Building

นวัตกรรมสีเขียวปฏิวัติโลก “Green Innovation Revolution Workshop”

นวัตกรรมสีเขียว การพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อโลกอนาคต นวัตกรรมสีเขียวคือการนำเอาเทคโนโลยีและกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการพัฒนาและผลิตสินค้าและบริการ เพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจต่อธรรมชาติ การส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการของโลกในยุคปัจจุบัน นวัตกรรมสีเขียวเป็นทางเลือกที่ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว

The Nova Community x MECT ร่วมจัดงาน “Green Innovation Revolution Workshop” ในงาน Thailand Smart City พร้อมด้วยกูรูผู้เชี่ยวชาญที่สุดในวงการ มาร่วมกันเฟ้นหา Green Innovation ที่เหมาะกับเมืองไทย เพิ่มความหลากหลาย เพิ่มทางเลือก เพื่อให้ Green Project เกิดขึ้นได้จริง วันที่ 8 พ.ย. 2567 เวลา 10.00 – 16.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (บุคคลทั่วไปมีค่าลงทะเบียนท่านละ 10,000 บาท) และพิเศษ รับหน่วย CPD จากสภาวิศวกร

Workshop Highlights

  1. ความเป็นกลางทางคาร์บอน: ภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ
    (Carbon Neutrality: The Do or Die Mission)
  2. แผนที่เส้นทางการลดการปล่อยคาร์บอนของโลกและประเทศไทย
    (Global and Thailand’s Carbon Emission Reduction Roadmaps)
  3. อุตสาหกรรมก่อสร้างจะช่วยโลกได้อย่างไร
    (How the Building Industry Can Save the World)
  4. เทรนด์นวัตกรรมสีเขียว
    (Green Innovation Trends)
  5. การค้นหาวิธีแก้ปัญหาและซัพพลายนวัตกรรมสีเขียว
    (Finding Solutions and Green Innovation Supplies)

เตรียมพร้อมสำหรับ งาน The Nova Expo 2025

นวัตกรรมสีเขียวจะเข้ามาช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมในอนาคต

จินต์ ธีระโกเมน รองกรรมการผู้จัดการอีอีซีกล่าวว่า นวัตกรรมสีเขียวมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมการก่อสร้าง มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ทั้งในด้าน Embodied Carbon และ Operational Carbon ในปัจจุบัน มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำจากบริษัทใหญ่ ๆ แต่ปัญหาหนึ่งคือความหลากหลายของวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่มีให้เลือกใช้นั้นยังน้อย โดยเฉพาะวัสดุที่เกี่ยวกับงานสถาปัตย์ส่งผลต่อความสามารถในการออกแบบและความสวยงามของโครงการ

ในด้านงานโครงสร้าง มีการพัฒนาโซลูชันต่าง ๆ เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอน เช่น การใช้ปูนที่มีคาร์บอนต่ำเป็นวัสดุที่ปล่อยคาร์บอนสูงในระดับทั่วโลก แต่ทางเลือกอื่น ๆ เช่น การใช้เหล็กคาร์บอนต่ำและโครงสร้างไม้ (Timber Construction) ยังมีข้อจำกัดในด้านความพร้อมและการเข้าถึงวัสดุในประเทศการพัฒนาโครงสร้างไม้ให้เข้าถึงได้มากขึ้น แต่ปัญหาคือไม้ยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มีค่าใช้จ่ายสูง และในเรื่องของเหล็กคาร์บอนต่ำก็มีความท้าทายในการผลิตในประเทศเนื่องจากกระบวนการที่ซับซ้อน นอกจากนี้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบ ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างไม้ยังมีข้อจำกัด ทำให้เป็นข้อจำกัดในการนำมาใช้

การสนับสนุนให้มีความหลากหลายของวัสดุในตลาดจะช่วยให้การออกแบบและนักพัฒนา มีทางเลือกมากขึ้น อาจนำไปสู่การแข่งขันทางด้านราคาและเพิ่มโอกาสในการนำวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้มากขึ้นในอนาคต ดังนั้นการพัฒนานวัตกรรมสีเขียวและการสร้างความรู้ความเข้าใจในวัสดุและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการก่อสร้างในอนาคต

การแข่งขันสู่การเพิ่มโอกาสในการใช้งานนวัตกรรมสีเขียว

ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียวกำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมการก่อสร้างจึงต้องการสร้างความเข้าใจกับภาครัฐเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่มีมาตรฐานรองรับและได้รับการพิสูจน์ผ่านกรณีศึกษาต่าง ๆ เพื่อให้สามารถลดการปลดปล่อยคาร์บอน โดยเฉพาะในด้าน Embodied Carbon

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ Operational Carbon ยังคงมีความเข้าใจที่จำกัด เพราะมีการปล่อยคาร์บอนในระยะยาวสูงถึง 60% ของการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ Embodied Carbon มีส่วนช่วยเพียง 40% เท่านั้น จึงต้องการให้ผู้คนได้รู้จัก Operational Carbon มากขึ้น ทั้งในด้าน Supply Side และ Demand Side

ลดการปลดปล่อยพลังงานเป็นวิธีการที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยการเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานต่ำ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในปัจจุบันมีการพัฒนาไปมาก ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีการใช้พลังงานต่ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำระบบ Control Automation และ AI มาประยุกต์ใช้ ทำให้การจัดการพลังงานของอาคารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ระบบ AI หรือ Building Automation System สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการทำงานได้ง่ายขึ้น มีการเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมกับความต้องการของอาคารได้ดี

การนำ AI และ Data Analytics เข้ามาใช้ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถตรวจจับและแจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์ในอาคารมีความเสียหาย ต้องการการซ่อมบำรุงจะช่วยให้การทำงานนั้นทำได้อย่างเต็มศักยภาพและคุ้มค่ากับการลงทุนมากยิ่งขึ้น

ในด้าน Supply ของผลิตภัณฑ์ AI และ Control Automation ยังมีความต้องการที่สูง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีผู้ให้บริการจำกัด จึงจำเป็นต้องมีการสรรหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้เพื่อสร้างการแข่งขันในตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานให้มากยิ่งขึ้น

สำหรับเจ้าของอาคารหรือผู้พัฒนา ที่มีมุมมองว่า Control Automation นั้นใช้งานยาก ต้องการให้เกิดความเข้าใจว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันมีความก้าวล้ำไปมาก ทำให้การเข้าถึงและการใช้งานมีความสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงควรมีโอกาสได้พบปะ ทำความเข้าใจ และพูดคุยเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เพื่อสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการก่อสร้างและพัฒนานวัตกรรมสีเขียวในอนาคต

เทคโนโลยีสีเขียวที่จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจแบบเดิม

มองว่าตรงนี้เป็นโอกาสในการเติบโตธุรกิจของเขา จึงอยากจะแชร์ตรงนี้เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึง”

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม การนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ในธุรกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญในการปรับเปลี่ยนโครงการต่าง ๆ ให้มีความยั่งยืน ในการจัด Workshop ล่าสุด มีการพูดคุยเกี่ยวกับการสนับสนุนโครงการที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีสีเขียว โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องมีการกู้เงินจากธนาคาร ช่วยให้โครงการเหล่านี้มีโอกาสในการเข้าถึงงบประมาณหรือกองทุนสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกับการทำโครงการสีเขียว

การที่โครงการสามารถทำสีเขียวได้ จะต้องมีการพิจารณา Supply Chain และเทคโนโลยีทั้งหมดที่ใช้ในโครงการให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มโอกาสให้โครงการสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น และสามารถได้รับดอกเบี้ยที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้กับ Supply Chain ในการเข้าถึงงานได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยไม่เพียงแต่แข่งขันในด้านราคา แต่ยังแข่งขันในเรื่องของการลดการปลดปล่อยคาร์บอน

เป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Green Fund

เรื่องของ Taxonomy ได้มีการออกระยะที่ 1 แล้ว โดยเน้นไปที่ขนส่งและพลังงาน ขณะนี้กำลังจะมีการออกระยะที่ 2 ที่จะครอบคลุมถึงภาคอุตสาหกรรมการผลิต ภาคการเกษตร ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการจัดการของเสีย โดยอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์จะสามารถเข้าข่ายเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว จะได้รับการสนับสนุนนโยบายจากธนาคารแห่งประเทศไทยในเรื่องของการลงทุน

อสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินนโยบายสีเขียวจะได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ดี และมีโอกาสในการได้รับกองทุนสนับสนุนที่ดีกว่า ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรม เช่น โรงงานที่ทำการหลอมเหล็ก อาจจะมีการใช้เทคโนโลยีที่ปล่อยคาร์บอนสูง หากมีการปรับเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ เช่น เตาไฟฟ้าแทน ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีโอกาสได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต

ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีสีเขียวและนโยบายต่าง ๆ จะช่วยทั้งด้าน Demand Side และ Supply Side ด้วยเช่นกัน ใน Workshop นี้ ผู้เข้าร่วมจะได้เล็งเห็นถึงผลประโยชน์จากการนำเทคโนโลยีสีเขียวไปใช้จะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เข้ากับเงื่อนไขของ Taxonomy เพื่อขอรับเงินทุนสนับสนุนที่มีดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงการคำนวณและจัดการด้านคาร์บอนต่าง ๆ ด้วย

ความท้าทายหลักในการปฏิวัตินวัตกรรมสีเขียวในอุตสาหกรรมในประเทศไทย

การปฏิวัตินวัตกรรมสีเขียวในอุตสาหกรรมของประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะในด้านการจัดหาวัสดุและเทคโนโลยีที่เหมาะสม สำหรับภาคส่วนใหญ่ในประเทศไทยที่พึ่งพาการนำเข้าสินค้าและการเป็น Distributor นั้น ความเข้าใจของ Supplier เกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้านั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาโครงการสีเขียว หากไม่มีการนำเข้าสินค้าหรือเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การดำเนินโครงการสีเขียวและการเข้าถึง Green Fund ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบาก

หนึ่งในอุปสรรคหลักคือ Supplier มักมีความกังวลว่าเมื่อพวกเขานำเข้าสินค้าแล้วจะไม่มีผู้ซื้อ ในขณะเดียวกัน เนื่องจากขาดความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในตลาด ผู้ซื้อก็ไม่สามารถเลือกใช้วัสดุที่ต้องการได้ จึงส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถสร้างระบบนิเวศที่รองรับการพัฒนาโครงการสีเขียวได้ ทั้งที่ประเทศไทยได้รับการสนับสนุนงบประมาณสำหรับ Green Fund จากทั่วโลกเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่สามารถอนุมัติได้ เนื่องจากโครงการไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด

นอกจากนี้ การรับรองและตรวจสอบคาร์บอน (Verification) ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัญหา เนื่องจากประเทศไทยกำลังจะมีการเริ่มต้นการตรวจสอบนี้ แต่ในขณะเดียวกัน การขาด Verifier ที่มีความเชี่ยวชาญในประเทศก็เป็นอุปสรรคใหญ่ หากต้องจ้าง Verifier จากต่างประเทศ ก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงอาจเกินกำลังสำหรับโครงการที่มีขนาดเล็ก

ทั้งหมดนี้เป็นความเสียโอกาสที่อาจเกิดขึ้นต่อประเทศ เนื่องจากหากประเทศไทยมี Verifier ที่สามารถรับรองการปลดปล่อยคาร์บอนได้ ก็จะเปิดโอกาสให้เงินทุนจาก International Fund สามารถไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมในประเทศได้จะเป็นการสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืนในอนาคต

โอกาสและอุปสรรคในการพัฒนานวัตกรรมสีเขียวในประเทศไทย

ประเทศไทยมีโอกาสมากมายในการพัฒนานวัตกรรมสีเขียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการประชุม COP27 และ COP28 ได้มีการหารือเกี่ยวกับนโยบายที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ทำให้มีโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนสนับสนุนจากโควตาที่จัดสรรไว้สำหรับประเทศเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโอกาสที่ดี แต่การเปลี่ยนแปลงอาจไม่เกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากประเทศไทยอาจไม่สามารถปรับตัวได้ทันตามกำหนด หากไม่มีการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากภาครัฐและภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การลดการปลดปล่อยคาร์บอนนั้นเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

การเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพในการปลดปล่อยคาร์บอนจะต้องอาศัยการสนับสนุนทั้งทางด้านเทคโนโลยี การศึกษา การสร้างความตระหนักรู้ และการลงทุนจากภาครัฐและเอกชน เพื่อที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต การสร้างความร่วมมือและความเข้าใจระหว่างทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันนวัตกรรมสีเขียวในประเทศไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนานวัตกรรมสีเขียว

การพัฒนานวัตกรรมสีเขียวในประเทศไทยเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและต้องการความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะในด้านของ Green Innovation และ Data Center สามารถนำเงินทุนมหาศาลเข้าสู่ประเทศได้ แม้ว่าภาครัฐจะมีแผนงานในการลดการปลดปล่อยคาร์บอน ทั้งทางภาคพลังงานและนโยบายต่าง ๆ แต่ภาคเอกชนยังรอความชัดเจนทำให้การพัฒนาโครงการคาร์บอนต่ำอาจล่าช้ากว่าแผนที่ตั้งไว้

เราทราบดีว่าภาครัฐมีคณะทำงานและร่างแผนการอยู่ แต่คำถามสำคัญคือ เมื่อไหร่ที่แผนเหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการ และแนวทางการดำเนินการจะเป็นอย่างไร การที่ภาคเอกชนต้องรอการประกาศแผนอย่างเป็นทางการอาจทำให้เกิดความล่าช้า เนื่องจากกระบวนการพัฒนาโครงการ ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการก่อสร้าง อาจใช้เวลาถึง 3-5 ปี หากรอจนกว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการอาจจะทำให้การดำเนินงานนั้นล่าช้าเกินไป

หากเราอยู่ในขั้นตอนการออกแบบและมีความเข้าใจในทิศทางที่ภาครัฐต้องการให้ดำเนินการ เช่น แนวทางของโครงการสีเขียว เราจะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม เรื่องของ Taxonomy ในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ว่าจะพิจารณาเพียง Embodied Carbon หรือรวมถึง Operational Carbon ด้วย หากภาคเอกชนทราบแน่ชัดว่าจะต้องโฟกัสที่ด้านใด จะสามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความชัดเจนในนโยบายจากภาครัฐจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ภาคเอกชนควรได้รับข้อมูลและแนวทางที่ชัดเจนจากภาครัฐเพื่อที่จะสามารถดำเนินการตามที่วางแผนไว้ได้ การที่ไม่มีกฎเกณฑ์หรือแนวทางที่ชัดเจน จะทำให้ภาคเอกชนไม่กล้าตัดสินใจในการดำเนินงาน

ในเรื่องของการปลดปล่อยคาร์บอน เป้าหมายในปี ค.ศ. 2030 และ 2050 กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่หากไม่มีความชัดเจนจากภาครัฐ ความล่าช้านี้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของภาคเอกชนอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการประชุมสำคัญอย่าง COP27 และ COP28 ต้องมีการหารือเกี่ยวกับนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถปรับตัวและดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมสีเขียวที่มีประสิทธิผลในประเทศไทย โดยภาครัฐต้องมีการสื่อสารและสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนให้กับภาคเอกชน เพื่อให้สามารถร่วมมือกันในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในอนาคต