วิเคราะห์ความเสี่ยงแผ่นดินไหวบริเวณภาคเหนือตอนล่าง พร้อมเตรียมโครงสร้างเพื่อรับมือ
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 4.5 ที่ระดับความลึก 5 กิโลเมตร มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ บริเวณตำบลไผ่ล้อม อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ส่งผลให้ประชาชนรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนในจังหวัด พิษณุโลก จังหวัดพิจิตร และจังหวัดกำแพงเพชร ในเรื่องนี้ ศ.ดร.อมร พิมานมาศ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่าแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเป็นแผ่นดินไหวที่มีขนาดปานกลาง แต่เนื่องจากเป็นแผ่นดินไหวระดับตื้น จึงทำให้ประชาชนรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนได้
ทั่งนี้ บริเวณดังกล่าว มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวได้ แต่ไม่บ่อยนัก ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาตรวจพบแผ่นดินไหวขนาด 4-5 เพียง 2 ครั้ง (รวมครั้งนี้ด้วย) สาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวมักจะเกิดขึ้นจากรอยเลื่อนที่มีพลัง ซึ่งในบริเวณดังกล่าวแม้จะมีกลุ่มรอยเลื่อนอุตรดิตถ์ และ กลุ่มรอยเรื่อนเพชรบูรณ์ แต่จากข้อมูลในเบื้องต้น พบว่าจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว ยังอยู่ห่างจากแนวของกลุ่มรอยเลื่อนทั้งสอง ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าอาจมีสาเหตุจากรอยเลื่อนอื่นที่ยังไม่ตรวจพบ หรือที่เรียกว่ารอยเลื่อนที่มองไม่เห็นหรือ Blind Fault ที่เป็นสาเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวในครั้งนี้ ทั้งนี้ต้องรอข้อมูลตรวจสอบทางธรณีวิทยาโดยละเอียดก่อน
สำหรับแผ่นดินไหวขนาด 4.5 เกิดในระยะตื้นที่ความลึกไม่เกิน 5 กม. จากพื้นดิน จะทำให้โครงสร้างอาคารในบริเวณดังกล่าวรับรู้แรงสั่นสะเทือน และอาจทำให้โครงสร้างอาคารที่ก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานเกิดการแตกร้าวได้ รวมทั้งอาคารที่มีความเสี่ยงได้แก่ โบราณสถาน วัด ที่ก่อสร้างจากอิฐก่อ มีโอกาสแตกร้าวได้ง่าย สำหรับบ้านเรือนประชาชนที่ก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน เช่น อาคารที่มีขนาดเสาที่เล็ก ก็อาจแตกร้าวเสียหายได้เช่นกัน
แต่สำหรับอาคารที่ก่อสร้างตามหลักวิศวกรรม มีการเสริมเหล็กด้านในและมีขนาดเสาคานที่วิศวกรคำนวณมาแล้ว ก็คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง แต่เพื่อความไม่ประมาท เจ้าของอาคารก็ควรสำรวจตรวจสอบอาคารของตนด้วย
ในแง่ของกฎหมายฯ ก่อนปี พ.ศ. 2564 พื้นที่ภาคเหนือตอนล่างไม่ได้จัดว่าเป็นบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหว เนื่องจากสถิติที่ผ่านมาตรวจพบแผ่นดินไหวน้อย อย่างไรก็ตามจากข้อมูลผลการศึกษาที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ในปี พ.ศ.2564 กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ออกกฎกระทรวงฯ กำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว โดยกำหนดให้จังหวัดพิจิตรอยู่ในบริเวณที่หนึ่ง และจังหวัดกำแพงเพชรอยู่ในบริเวณที่สองของกฎกระทรวงฯ ซึ่งถือว่าเป็นบริเวณที่ความเสี่ยงแผ่นดินไหวในระดับต่ำถึงปานกลาง และต้องออกแบบอาคารให้รองรับแผ่นดินไหว เช่น อาคารที่สูงตั้งแต่ 15 ม.ขึ้นไป และอาคารอื่นตามที่กฎหมายกำหนด มีข้อสังเกตว่า จังหวัดพิจิตรยังไม่ได้อยู่ในบังคับของกฎกระทรวงฯฉบับนี้
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ กฎกระทรวงปี 2564 เพิ่งบังคับใช้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมานี้เอง ทำให้อาคารจำนวนมาก ที่ก่อสร้างก่อนปี 2564 ไม่ได้ถูกออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหว ดังนั้น อาคารเก่าเหล่านี้ รวมถึงอาคารที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหว เช่น โบราณสถาน วัด จึงควรได้รับการประเมินและตรวจสอบว่าสามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ในระดับใด และอาจต้องทำการเสริมความแข็งแรงเพื่อรองรับแผ่นดินไหวที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป