“สัมมากร” รุกหนักครึ่งปีหลังเตรียมเปิดตัว 7 แบรนด์ใหม่ 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ตั้งเป้าปี’65 รายได้แตะ 2,500 ล้านบาท
บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์มากว่า 50 ของไทย แถลงแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังของปี พ.ศ.2565 เตรียมส่ง 7 แบรนด์ใหม่และเปิด 9 โครงการ บน 9 ทำเล กระจายทั้งในกรุงเทพมหานคร และตลาดต่างจังหวัดครั้งแรกที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี พ.ศ.2565 เติบโตประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยไตรมาสที่ 1 ของปีพ.ศ.2565 มียอดรายได้แล้วประมาณ 279.56 ล้านบาท จากการส่งมอบโครงการอย่างต่อเนื่อง
ณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO กล่าวว่า สัมมากรได้สร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพมาเป็นระยะเวลากว่า 50 ปี จึงมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ในการสร้างบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทย และเป็นบ้านที่หลับสบายได้อย่างแท้จริง โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จะประสบวิกฤตทางเศรษฐกิจ สถานการณ์ COVID-19 และอื่นๆ แต่คนไทยยังตัดสินใจที่จะเลือกซื้อบ้านซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญของการใช้ชีวิต และบ้านยังเป็นตลาดที่ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น สัมมากรจึงเดินหน้าเต็มที่ในการริเริ่มสิ่งใหม่ๆ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งเน้นการพัฒนาบุคลากรควบคู่กับการพัฒนาโปรดักส์
โดยปีนี้โฟกัสตลาดบ้านเดี่ยว โดยจัดพอร์ตธุรกิจเพื่อจัดทำกลุ่มแบรนด์โปรดักส์ (Brand Segmentation) ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ด้วยการออก 7 แบรนด์ใหม่ ซึ่งจะทำการทยอยเปิดตัวภายในปี พ.ศ. 2565 จำนวน 9 โครงการ บน 9 ทำเลศักยภาพ รวมมูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเปิดตัวในครึ่งปีหลังนี้ในช่วง ไตรมาสที่ 3 ของปี พ.ศ.2565 เป็นต้นไป ผ่านการจัดพอร์ตธุรกิจเพื่อจัดทำกลุ่มแบรนด์โปรดักส์ (Brand Segmentation) ให้มีความหลากหลายมากขึ้น
สำหรับ 9 โครงการใหม่ในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ใน 4 กลุ่มผู้บริโภค แบ่งเป็น 1.กลุ่ม Super Luxury เปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมทั้งหมด 505 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ One Gate มูลค่าโครงการประมาณ 335 ล้านบาท ตั้งอยู่โซนเอกมัย-รามอินทรา เป็นบ้านเดี่ยว ขนาดใหญ่จำนวน 3 หลัง ราคาเริ่มต้น 95-135 ล้านบาท จุดเด่นอยู่ตรงทำเลที่เดินทางสะดวกและงานออกแบบที่รวมความเป็นธรรมชาติและความเป็นเมืองเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งโครงการมีมูลค่าประมาณ 335 ล้านบาท และ แบรนด์ Two Ekkamai มูลค่าโครงการ 170 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 10 หรือซอยสุขุมวิท 65 เป็นโครงการสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเพียง 2 หลัง ตั้งอยู่บนไพร์มที่หาได้ยากในย่านใจกลางเมือง ราคาประมาณ 85 ล้านบาท โดดเด่นด้วยสไตล์การออกแบบที่ได้รับ แรงบันดาลใจจากเมืองนิวยอร์ก มีการรังสรรค์พื้นที่การอยู่อาศัยในทุกองค์ประกอบด้วยสัดส่วนที่กลมกลืนและสมบูรณ์แบบ
2.กลุ่ม Luxury เปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมทั้งหมด 2,210 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ Park Heritage บ้านแบบ วิลล่าหรู 3 ชั้น สไตล์ Modern Classic ราคาเริ่มต้นประมาณ 49 ล้านบาท จำนวน 35 หลัง โดยมีจุดเด่นที่เรื่อง Privacy ด้วยการจัดผังโครงการเป็น Cluster Zone ที่ไม่สามารถทะลุผ่านกันได้ และออกแบบให้บ้านที่ติดกับถนนหลักนั้นมีการหันหลังบ้านติดกับถนน โดยออกแบบเป็น Double Front เพื่อหลังบ้านที่ติดกับถนนหลักมีความกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งกับอุโมงค์ต้นไม้ที่ทอดยาวตลอดถนนโครงการ
3.กลุ่ม High-end เปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมทั้งหมด 2,900 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ Barn Yard บ้านที่ออกแบบด้วยแนวคิด Classic American Farmhouse กับโลเคชันใกล้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ที่มาพร้อมการออกแบบจัดวางพื้นที่บ้านแต่ละหลังให้มีระดับที่ลดหลั่นกัน ทำให้ทุกบ้านสามารถเห็นวิวและเปิดรับธรรมชาติได้อย่างอิสระ มูลค่าโครงการอยู่ที่ 900 ล้านบาท และอีกหนึ่งแบรนด์ (Upcoming Project) จะเป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก ราคาเริ่มต้นประมาณ 30 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 29 ไร่ บนถนนกรุงเทพกรีฑา ซึ่งเป็นทำเลที่มีการขยายตัวของกรุงเทพ
มหานครฝั่งตะวันออกอีกแห่งหนึ่งที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีจำนวน 64 ยูนิต รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท
4.กลุ่ม Upscale เปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมทั้งหมด 4,440 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ Anapana โครงการขนาดใหญ่บนพื้นที่ 41 ไร่ ติดถนนลาดกระบังและอยู่ใกล้กับมอเตอร์เวย์ เดินทางได้สะดวก โดยบ้านถูกออกแบบในสไตล์ Contemporary Tropical โดดเด่นด้วยอุโมงค์ต้นไม้ของต้นจามจุรีขนาดใหญ่ ที่ทอดยาวตั้งแต่ทางเข้าโครงการถึงซุ้มประตูด้านใน มาพร้อมคลับเฮ้าส์และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่ยาวถึง 40 เมตร โดยราคาเริ่มต้นประมาณ 7 ล้านบาท โครงการมีมูลค่า 1,540 ล้านบาท และ แบรนด์ Mitti ซึ่งมีด้วยกัน 3 โครงการ ใน 3 ทำเล ได้แก่ ชัยพฤกษ์-วงแหวน, ราชพฤกษ์ 346 และรังสิต คลอง 6 ราคาเริ่มต้นประมาณ 5.99 ล้านบาท แนวคิดของโครงการคือความสุขที่ไม่มีวันหมดอายุกับการออกแบบฟังก์ชันและพื้นที่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้อาศัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดย 3 โครงการมีมูลค่ารวม 2,900 ล้านบาท
ณพน กล่าวถึงการดำเนินธุรกิจในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาว่า สัมมากรเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณปีละ 10% โดยปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2565- วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2565 สามารถสร้างยอดขายรวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท เติบโต 50% จากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ.2564 คิดเป็น 42% จากเป้ายอดขายทั้งปี พ.ศ.2565 ที่ตั้งใว้ประมาณ 3,500 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตและความสำเร็จที่เกิดขึ้นมาจากทีมบุคลากรของบริษัทฯที่ร่วมกันทำงานด้วยวิธีการทำงานแบบ Agile และเป็นรูปแบบ Scrum Team ทำให้การทำงานมีความคล่องตัว มีกระบวนการทำงานเร็วขึ้น ส่งผลให้เห็นประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานได้ไวกว่าเดิม รวมถึงได้เพิ่มทักษะเรื่อง Design Thinking เพื่อต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ และเสริมกระบวนการคิดในการพัฒนางานด้านต่างๆ สามารถสร้างสรรค์โปรเจกต์ใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของเป้ารายได้ในปี พ.ศ.2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งไตรมาสแรกของ ปี พ.ศ.2565 มียอดรายได้แล้วประมาณ 279.56 ล้านบาท จากการส่งมอบโครงการอย่างต่อเนื่องปัจจุบันมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในปี พ.ศ.2565 นี้
ส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทฯ คาดว่าจะกลับมาดำเนินการในปี พ.ศ.2566 ได้ แต่ต้องประเมินสถานการณ์กำลังซื้อของชาวต่างชาติที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทฯประกอบอย่างใกล้ชิดด้วย เนื่องจากปัจจุบันกำลังซื้อต่างชาติยังไม่กลับมาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่เกิดขึ้นยังไม่กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ