ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการจัดตั้ง “บมจ.เคหะสุขประชา” พัฒนาอสังหาฯ ยกระดับเศรษฐกิจในครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยในชุมชน
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล โดยครม.มีมติเห็นชอบในหลักการการจัดตั้งบริษัทในเครือของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) “บริษัทเคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน)” (บมจ. เคหะสุขประชา) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ และเห็นชอบการปรับเพิ่มกรอบงบลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 หมวดลงทุนอื่นๆ โดยเพิ่มทั้งวงเงินดำเนินการและเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 245 ล้านบาท ตามสัดส่วนที่ กคช. ถือหุ้น 49% จากทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการจัดตั้งบริษัทในเครือสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย และเป็นไปตามกฎหมาย กฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เห็นควรให้ กคช. ดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้ พม. (กคช.) รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ “บมจ.เคหะสุขประชา” นั้นจะเป็นกลไกในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภาคที่อยู่อาศัย รวมทั้งยกระดับเศรษฐกิจในครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยในชุมชน โดยจะดำเนินการดังนี้ 1.พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาคที่อยู่อาศัย โดยจัดทำโครงการบ้านเช่าฯ จำนวน 100,000 หน่วย ภายใน 4 ปี (ปี พ.ศ.2565-2568) แบ่งเป็น ปี พ.ศ. 2565-2566 ปีละ30,000 หน่วย และปี พ.ศ. 2567-2568 ปีละ 20,000 หน่วยโดยรูปแบบที่อยู่อาศัย 4 รูปแบบ ครอบคลุม 4 กลุ่มเป้าหมายดังนี้ กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ แบบบ้านแฝดชั้นเดียว/2 ชั้น ที่ดิน 16 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 30 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า 1,500 บาทต่อเดือน กลุ่มผู้มีสถานะโสด แบบบ้านแฝดชั้นเดียว/2 ชั้น ที่ดิน 16 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 30 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า 2,000 บาทต่อเดือน กลุ่มครัวเรือนใหม่ แบบบ้านแฝดชั้นเดียว/2 ชั้น ที่ดิน 17.5 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย40 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า 2,500 บาทต่อ เดือน กลุ่มครอบครัว แบบบ้านแฝดชั้นเดียว/2 ชั้น ที่ดิน 20 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 50 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า 3,500 บาทต่อเดือน ประมาณการรายรับภายใน 4 ปี (ปี พ.ศ.2565-2568) 60,000 ล้านบาท
และ 2.รับซื้อทรัพย์สินมาบริหารการขาย โดยรับซื้ออาคารคงเหลือ จาก กคช. เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร ประมาณ 18,000 หน่วย ภายใน 2 ปี (ปีละ 9,000 หน่วย)(ปี พ.ศ.2564-2566) นำมาบริหารการขาย 4 ปี (ปี พ.ศ. 2565 จำนวน 7,200 หน่วย ปี พ.ศ.2566 จำนวน 6,000 หน่วย ปี พ.ศ. 2567 จำนวน 1,800 หน่วย ปี พ.ศ.2568 จำนวน 3,000 หน่วย) ประมาณการมูลค่าการขายรวม 10,890 ล้านบาท